ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน


ผู้ที่เป็นเบาหวานและยังไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมหรือยังคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนฉับพลัน เช่น ซึม สับสน หรือชักได้ และอาจจะเพิ่มโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง โดยเฉพาะที่หลอดเลือดแดง เช่น

1. โรคแทรกซ้อนที่ตา(Diabetic Retinopathy) ทำให้มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด หรือตาบอดได้

2. โรคแทรกซ้อนที่ไต (Diabetic Nephropathy) อาจจะทำให้มีอาการบวม ปัสสาวะเป็นฟองมากขึ้น หรือการทำงานของไตลดลง ไตวาย

3. โรคแทรกซ้อนที่ปลายประสาท (Diabetic Neuropathy) ผู้ป่วยอาจมีอาการชา ปวดตามเส้นประสาท บริเวณปลายมือปลายเท้า หรือเสี่ยงต่อการเป็นแผลง่ายขึ้น

4. โรคแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ เช่น หลอดเลือดหัวใจหรือสมองตีบทำให้ผู้ป่วยเกิดเจ็บแน่นหน้าอก หรือมีภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาตเกิดขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนุบสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ https://www.thaihealth.or.th/?p=227431

บทความที่เกี่ยวข้อง

เบาหวาน

เบาหวาน

เบาหวาน เบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้างอินซูลิน หรือการทำงานของอินซูลิน ซึ่งหากผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลได้ จะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมาอีกมากมาย เบาหวานมี 4 ชนิด ดังนี้ 1.เบาหวานชนิดที่ 1 ต้องพึ่งพาอินซูลิน(IDDM) เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน 2.เบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ต้องพึ่งพาอินซูลิน(NIDDM) เบาหวานชนิดนี้ตับอ่อนยังพอผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่มีภาวะตื้อต่ออินซูลิน ในระยะแรกอาจรักษาได้ด้วยการคุมอาหาร หรือยาเม็ดลดระดับน้ำตาล แต่หากควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีอาจจำต้องฉีดอินซูลิน 3.โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์(GDM)โดยปัจจัยการส่งเสริมให้เกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ ฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ต่อต้านการทำงานของอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำใหห้เลือดน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ 4.เบาหวานชนิดที่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ความผิดปกติของสารพันธุกรรม monogenic diabetes syndrome หรือ Maturity onset diabetes of the young[MODY], จากยา , โรคของทางตับอ่อน เช่น cystic fibrosis อาการแสดงของโรคเบาหวาน ปัสสาวะบ่อย ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน หิวบ่อยรับประทานมาก แต่นำหนักลด หิวน้ำบ่อย ผิวแห้ง แผลลหายช้า ตาพร่ามัว ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปัจจัยเสี่ยงโรคเบาหวาน 1.โรคอ้วน ชอบรับประทานอาหารหวาน ทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน 2.ผู้สูงอายุ เนื่องจากมีการสังเคราะห์และการหลั่งฮอร์โมนลดลง 3.โรคของตับอ่อน ทำให้มีการหลั่งอินซูลินลดลง 4.การติดเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งมีผลต่อตับอ่อนทำให้การหลั่งอินซูลินลดลง 5.ได้รับยาบางชนิด สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิดบางชนิดทำให้มีการสร้างน้ำตาลมากขึ้น หรือการตอบสนองของอินซูลินลงลด 6.การตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนจากรกหลายชนิดมีฤทธิ์ต้านการทำงานของอินซูลิน ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน 1.ตา อาจเป็นต้อกระจกก่อนวัย จอตาเสื่อม ทำให้ตามัวลงเรื่อยๆ และอาจทำให้ตาบอดในที่สุด 2.เท้า ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า เกิดแผลได้ง่ายและ อาจก่อให้เกิดความพิการ 3.ไต มักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง, โปรตีน(ไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ) 4.ติดเชื้อ เป็รการติดเชื่อได้ง่ายเนื่องจากภูมิต้านทานต่ำ 5.ภาวะคีโตซีส(ketosis) ผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำมาก หายใจหอบลึก มีไข้ กระวนกระวาย 6.ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เป็นความดันโลหิตสูง อัมพาต หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย 7.เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ การดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน รับประทานอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย หลีกเลี้ยงอาหารที่รับประทานแล้วมีระดับน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน อาหารหรือผลไม้ที่หวานจัด เป็นต้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หมั่นตรวจน้ำตาลด้วยตนเอง เพื่อทราบระดับน้ำตาลในเลือด ดูแลทำความสะอาดเท้า ระมัดระวังอย่าให้เกิดเบิดแผล และหมั่นตรวจเท้าเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเท้าเสมอ รับประทานยาตามแพมย์สั่งอย่างต่อเนื่อง พบแพทย์ตามนัด รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท ถั่งเช่า เป็นต้น การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน 1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม 2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3.ไม่สูบบุหรี่ 4.หลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5.ไม่เครีนด หรือวิตกกังวลมากจนเกินไป 6.หมั่นไปตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และปัสสาวะเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ปัจจัยทำโรคไทรอยด์กำเริบ ความเครียดมีผลหรือไม่ ?

ปัจจัยทำโรคไทรอยด์กำเริบ ความเครียดมีผลหรือไม่ ?

ไทรอยด์กำเริบ ปัจจัยทำโรคไทรอยด์กำเริบ ความเครียดมีผลหรือไม่ ? ไทรอยด์โรคที่มีหลากหลายอาการ ซึ่งหากเป็นแล้วต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้โรคสงบระหว่างขั้นตอน แล้วปัจจัยอะไรบ้างทำให้โรคกำเริบ กระทบการใช้ชีวิต “ต่อมไทรอยด์” คือ ต่อมไร้ท่อที่อยู่ส่วนล่างของกลางลำคอ ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ เพื่อใช้ในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยปกติเรามักไม่ค่อยได้สนใจเจ้าต่อมไร้ท่อนี้เท่าไรนัก หากไม่พบความผิดปกติที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน เช่น ขนาดที่ผิดปกติ หรือมีก้อนโต ซึ่งเมื่อเข้ารับการรักษาแล้ว โรคก็จะสงบลงตามการรักษา ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะหายดี การรักษา โรคไทรอยด์ สามารถรักษาได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยต่ละราย เช่น. อายุของผู้ป่วย ขนาดของต่อมไทรอยด์ ระยะเวลาของโรค โดยปกติการรักษาไทรอยด์มี 3 รูปแบบ รักษาด้วยยา ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการรักษานานประมาณ 1 - 2 ปี โดยในระหว่างที่ทำการรักษานั้นผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม กลืนเร่ไอโอดีน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะพิจารณาเลือกในผู้ป่วยที่มีอายุมาก และมีอาการค่อนข้างรุนแรง หรือกลับมาเป็นซ้ำ หลังจากที่รักษาด้วยการให้ยามาแล้ว รักษาด้วยผ่าตัด วิธีการนี้แพทย์จะพิจารณาเลือกเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากๆ และต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมากขึ้น แพ้กลุ่มยากินที่ใช้ในการรักษา หรือเกิดผลข้างเคียงต่อระบบเม็ดเลือด และหลอดเลือด ในระหว่างการรักษาจะมีช่วงที่โรคสงบ แล้วอะไรบ้าง? ที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้ไทรอยด์กำเริบ ความเครียด แน่นอนว่าเมื่อเราเครียดหนักมาก และมีภาวะที่สะสม ร่างกายจะผลิตอะดรีนาลีนและคอติซอล ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะกระทบกับภูมิคุ้มกันและส่งผลให้ไทรอยด์กำเริบ พักผ่อนไม่เพียงพอ แน่นอนค่ะว่า การที่นอนน้อยทำให้ภูมิต้านทานต่ำ เป็นหวัดง่าย อีกทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นไทรอยด์อีกด้วยค่ะ อาหารสำเร็จรูป ทำให้น้ำตาล โซเดียม สูงเกินกว่าที่ร่างกายกำหนดทำให้ไทรอยด์กำเริบได้เช่นกันค่ะ การได้รับไอโอดีนมากเกินไป ไอโดดีนเป็นธาตุอาหารที่จำ แต่หากบริโภคไอโดดีนที่พบได้ในยาบางชนิด สาหร่ายทะเล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสาหร่ายทะเล อาหารทะเล เป็นต้น มากเกินความจำเป็น จะทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากผิดปกติได้ อาหารที่กระตุ้นการเผาผลาญ เช่น พริก กาแฟ แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลังฯลฯ อาหารที่กระตุ้นให้ภูมิแพ้กำเริบ สำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษที่มีโรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว การที่ภูมิแพ้กำเริบจะกระตุ้นให้ไทรอยด์แย่ลงได้ เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารต่างๆที่ตัวเองแพ้ด้วย หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติของอาการ ควรรีบพบแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดหมาย ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

สารลดความหวานแทนน้ำตาล

สารลดความหวานแทนน้ำตาล

"สารแทนความหวาน" องค์การอนามัยโลกเตือนประชาชนทั่วไปอย่าใช้ "สารแทนความหวาน" ลดน้ำหนัก หลังพบไม่มีประโยชน์ระยะยาวต่อการลดไขมันในร่างกาย แถมเสี่ยงต่อโรคหัวใจ-เสียชีวิต หน่วยงานของสหประชาติ เปิดเผยผลการตรวจสอบสารแทนความหวาน พบว่า ไม่ได้ให้ประโยชน์ในระยะยาวต่อการลดไขมันในร่างกายของผู้ใหญ่หรือเด็ก และอาจมีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ก่อให้เกิดโรคเบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และเพิ่มการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ได้ ฟรานเชสโค บรางคา (Francesco Branca) ผู้อำนวยการฝ่ายโภชนาการและความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวในการแถลงข่าวด้วยว่า การเปลี่ยนน้ำตาล มาใช้สารแทนความหวาน ไม่ได้ช่วยในการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว แนะนำให้ใช้วิธีอื่นในการลดปริมาณน้ำตาลแทน เช่น การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างผลไม้ หรือไม่ก็ดื่มเครื่องดื่มไร้น้ำตาล สารแทนความหวานไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จำเป็นในการบริโภคอาหารและไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นเราควรลด หลีกเลี่ยง และควบคุมปริมาณน้ำตาลหรือความหวานของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม คำแนะนำนี้สามารถใช้ได้กับทุกคน ยกเว้นคนที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เนื่องจากการประเมินกลุ่มนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา "สารแทนความหวาน" ชนิดไหนที่ไม่ดีต่อร่างกาย ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก "สารแทนความหวาน" หมายรวมถึง สารสังเคราะห์ทั้งหมด ที่อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือดัดแปลงขึ้นมาก็ได้ สามารถได้ทั้งในอาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตขาย หรือเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเติมลงในอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งได้แก่ สารเอซีซัลเฟม เค (acesulfame K) แอสพาร์เทม (aspartame) แอดแวนเทม (advantame) โซเดียมไซคลาเมต (cyclamates) นีโอแตม (neotame) แซ็กคาริน หรือ ขัณฑสกร (saccharin) ซูคราโตส (sucralose) หญ้าหวาน (stevia) อิริทริทอล (Erythritol) โดยคำแนะนำดังกล่าวนี้ มีขึ้นหลายเดือนหลังจากมีผลการวิจัยพบว่า ที่ทดสอบในคนสหรัฐอเมริกาและยุโรปกว่า 4,000 คนพบว่า ผู้ที่มีระดับสารแทนความหวานอิริทรินอล (Erythritol) ที่ใช้ใส่ในอาหารเพื่อให้ความหวานแก่ผลิตภัณฑ์อาหารแคลอรี่ต่ำและอาหารเพื่อสุขภาพคีโต มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมีอัตราการเสียชีวิตสูง มากกว่ากลุ่มที่มีระดับสารแทนความหวานดังกล่าวต่ำ ผลการวิจัยข้างต้นนี้ ถือเป็นผลการศึกษาที่ตรงกันข้ามผลการวิจัยเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ที่พบว่าสารแทนความหวานอิริทรินอล (Erythritol) นั้นปลอดภัย จนมีกฎหมายอนุญาตให้ใช้ได้ทั่วโลกในอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรนำไปใช้กับประชากรทั่วไป เนื่องจากผู้เข้าร่วมการศึกษาในครั้งนั้น เป็นกลุ่มเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ผลิตภัณฑ์ปราศจากน้ำตาลที่มีอิริทริทอล แนะนำให้กลุ่มผู้ที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือกลุ่มอ้วนลงพุง กินได้เพื่อแนวทางในการควบคุมน้ำตาลและปริมาณแคลอรี่ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

9 สัญญาณเตือนโรคเบาหวานที่คุณต้องรู้

9 สัญญาณเตือนโรคเบาหวานที่คุณต้องรู้

9 สัญญาณเตือนโรคเบาหวานที่คุณต้องรู้ เบาหวานเป็นโรคที่ต้องระวังอย่างมาก เพราะหากคุมเบาหวานไม่ได้อาจป่วยเป็นโรคหัวใจ ป่วยเป็นโรคไตจนต้องฟอกเลือด มีแผลที่เท้าแล้วไม่หายจนติดเชื้อต้องตัดขา แม้กระทั่งถ้าป่วยเป็นโควิดช่วงที่น้ำตาลในเลือดสูงอาจป่วยหนักจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นการสังเกตสัญญาณเตือนโรคเบาหวานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ สัญญาณเตือนเบาหวาน 9 สัญญาณเตือนโรคเบาหวานดังต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องรู้และหมั่นสังเกต หากมีอาการให้รีบมาตรวจเช็กกับแพทย์เฉพาะทางทันที เพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ จะได้ดูแลตนเองอย่างถูกวิธี กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อยกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ หรือปัสสาวะปริมาณมากกว่าปกติ หิวบ่อย กินอาหารมากกว่าเดิม น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีแผลและแผลหายช้ากว่าปกติ ชา ปวดแสบ ปวดร้อน หรือรู้สึกเหมือนมีมดไต่ที่ปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้ง คัน ภัยเงียบเบาหวาน เบาหวานเป็นภัยเงียบที่มาแบบไม่รู้ตัว เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการมาก่อน ดังนั้นในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน อาทิ มีภาวะอ้วน มีญาติหรือคนในครอบครัวสายตรงเป็นเบาหวาน เป็นต้น แม้ยังไม่มีอาการก็ควรตรวจคัดกรองเบาหวานเป็นประจำทุกปี เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จนแสดงอาการ อาจเป็นหนักและเกิดผลข้างเคียงที่ยากจะรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ เช็กตัวเองให้ห่างไกลเบาหวาน การเช็กตัวเองอยู่เสมอช่วยให้ห่างไกลเบาหวานและผลข้างเคียงจากเบาหวานสิ่งที่ควรทำคือ สังเกตตัวเอง อยู่เสมอว่ามีอาการผิดปกติตามสัญญาณข้างต้นหรือไม่ ดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันตัวเองจากเบาหวาน ทั้งการคุมอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสม ตรวจเช็กตัวเอง โดยการตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาลตามความเหมาะสม เนื่องในวันเบาหวานโลก นพ.โองการ สาระสมบัติ อายุรแพทย์เฉพาะทางโรคเบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และเมตะบอลิสม โรงพยาบาลกรุงเทพ ฝากว่า “ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงเบาหวานหรือไม่ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันโรคเบาหวานเป็นเรื่องสำคัญ อยากให้ทุกคนรับประทานอาหารที่เหมาะสมและมีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ และตรวจเช็กเบาหวานเป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้รู้เท่าทันและห่างไกลจากโรคเบาหวาน” ขอบคุณข้อมูลจากศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ https://www.bangkokhospital.com/content/knows-9-diabetes-warning-signs

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ รู้จักภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตรมักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลียซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลหรือฉีดอินซูลิน อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ เหงื่อออก ไม่มีแรง เวียนศีรษะ สับสน ผิวหนังเย็น อ่อนเพลีย ตาพร่า หิวบ่อย ตัวสั่น ชัก ขาดสติ หัวใจเต้นเร็ว อาการโคม่า วิธีรักษาและดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ 1) ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซึ่งปริมาณอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมได้แก่ ทอฟฟี่ 3 เม็ด น้ำส้มคั้น 180 มิลลิลิตร น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา ขนมปัง 1 แผ่น ไอศกรีม 2 สกูป กล้วย 1 ผล ***เลือกทานอย่างใดอย่างหนึ่ง อาการมักดีขึ้นภายใน 20 นาที หลังได้รับอาหารในปริมาณดังกล่าว 2) ติดตามระดับกลูโคสในเลือดโดยใช้กลูโคสมิเตอร์ทุก 20 นาทีหลังรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตครั้งแรก 3) ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซ้ำถ้าระดับกลูโคสในเลือดยังคงน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร 4) เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นและผลการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 80 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรให้รับประทานอาหารต่อเนื่องทันทีเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลักหรือถ้าต้องรอเวลาอาหารมื้อหลักนานเกินกว่า 1 ชั่วโมงให้รับประทานอาหารว่างที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมและโปรตีนเพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซ้ำ ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ https://www.bangkokhospital.com/content/hypoglycemia

ไทรอยด์โรคต้องรู้

ไทรอยด์โรคต้องรู้

โรคไทรอยด์ 4 เรื่องควรรู้ อัตราเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า ปัจจุบันผู้ป่วยโรคไทรอยด์จำนวนมากในประเทศไทย ที่น่าสนใจคือหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคไทรอยด์ ซึ่งหากรู้ตัวเร็ว รักษาเร็ว ย่อมช่วยให้รับมือได้ทันท่วงทีและดูแลรักษาสุขภาพได้อย่างถูกต้องในระยะยาว ไทรอยด์เป็นพิษ เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากเกิดความเปิดปกติจากร่างกายของเราเอง ที่กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้มีการสร้างฮอร์โมนมากเกินความจำเป็นของร่างกาย สิ่งที่ทำได้ คือ การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายตนเอง หากมีอาการผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา สำหรับผู้ป่วยที่รักษาอยู่แล้ว ปกติแพทย์มักจะให้การรักษาด้วยการรับประทานยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างฮอร์โมนขึ้นมาใหม่ และยับยั้งการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนที่มีอยู่แล้ว 4 เรื่องไทรอยด์ที่ควรรู้ อุบัติการณ์โรคไทรอยด์ในปัจจุบัน ในพื้นที่ที่มีการขาดไอโอดีนมักพบว่ามีคนไข้เกิดต่อมไทรอยด์โตมากกว่าปกติหรือที่เรารู้จักกันว่า โรคคอหอยพอก ส่วนในพื้นที่ที่มีการบริโภคไอโอดีนเพียงพอจะพบอาการโรคไทรอยด์ในกลุ่ม Autoimmune Disease ซึ่งเป็นสาเหตุของทั้งไทรอยด์เป็นพิษหรือไทรอยด์ทำงานต่ำ มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4 : 1 ภาวะนอนไม่หลับ กินไม่อิ่ม แสดงว่าเป็นโรคไทรอยด์ อาการของโรคไทรอยด์จะแตกต่างกันตามแต่ละชนิดของโรคที่เป็น เช่น ถ้ามีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไปจะมีอาการท้องผูก ขี้หนาว เหนื่อยง่าย เพลีย น้ำหนักเพิ่ม ถ้าไทรอยด์ทำงานมากเกินไปจะมีอาการใจสั่น มือสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด หิวบ่อย เป็นต้น โรคไทรอยด์ป้องกันได้? ในพื้นที่ที่มีการเกิดโรคคอหอยพอกควรมีการเพิ่มการบริโภคไอโอดีน เช่น การใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหารจะเป็นการป้องกันการเกิดคอพอกได้ หรือการรับประทานอาหารทะเลให้พอเพียง ส่วนการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไปยังไม่มีวิธีป้องกันโรค เพราะฉะนั้นถ้าคนไข้มีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคไทรอยด์ควรมาเจาะเลือดและพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยไทรอยด์ อย่าละเลยตรวจเช็กไทรอยด์ ในคนที่มีอาการแสดงดังต่อไปนี้ควรเข้ารับการตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน คอโตขึ้น คลำเจอก้อนบริเวณคอด้านหน้า มีอาการไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (ชนิดอ้วน) เช่น เหนื่อยง่าย เพลียง่าย ขี้หนาว ท้องผูก น้ำหนักขึ้นง่าย มีอาการไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (ชนิดผอม) เช่น มือสั่น ใจสั่น น้ำหนักลดลง โดยที่ยังทานอาหารเป็นปกติหรือมากกว่าปกติ วิตกกังวล หงุดหงิดมากกว่าปกติ ตาโปนโตกว่าปกติ คอโตขึ้น ลำไส้เคลื่อนไหวมากกว่าปกติ ขับถ่ายบ่อยขึ้น เหงื่อออกมาก ทั้งนี้ไทรอยด์เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม หากมีอาการข้างต้นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางนะคะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ