การดูแลเรื่องมวลกล้ามเนื้อและกระดูกในวัยหมดระดูก

การดูแลเรื่องมวลกล้ามเนื้อและกระดูกในวัยหมดระดู

“วัยหมดระดู” สตรีวัยหมดประจำเดือนเป็นจุดหนึ่งในช่วงชีวิตที่ต่อเนื่องของผู้หญิงและถือเป็นการสิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะหมดประจำเดือนระหว่างอายุ 45 ถึง 55 ปี เฉลี่ยอยู่ที่อายุ 50ปีโดยเป็นส่วนหนึ่งของการสูงวัยทางชีวภาพ เกิดจากการสูญเสียการทำงานของรังไข่และมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงของวัยหมดระดู อาจเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปกติจะเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงของรอบประจำเดือน จนถึงภาวะหลังหมดประจำเดือนอย่างถาวร อาจเป็นผลมาจากการผ่าตัดหรือหัตถการทางการแพทย์ โดยจะวินิจฉัยเมื่อขาดประจำเดือนไปนาน 1 ปี เป็นช่วงเวลาที่อาจส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม

ในช่วงวัยหมดระดู การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโดยเฉพาะระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะส่งผลต่อสุขภาพของมวลกล้ามเนื้อและกระดูกและความเป็นอยู่ที่ดี บทความนี้เป็นแนวทางการจัดการเพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการเหล่านี้

1.โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) : เป็นหนึ่งในปัญหาเกี่ยวกับระบบกระดูกที่พบบ่อยที่สุดที่เกี่ยวข้องกับวัยหมดระดู โรคกระดูกพรุนมีลักษณะเฉพาะคือกระดูกมีความแข็งแกร่งลดลง มีความเปราะบาง เพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกหัก โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสะโพก กระดูกสันหลังและกระดูกข้อมือ

2.การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและความอ่อนแรง (Sarcopenia ) : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยหมดประจำเดือนยังส่งผลให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ลดลง
ความมั่นคง และเพิ่มความเสี่ยงของการหกล้มและกระดูกหักเพิ่มขึ้น

การดูแลความแข็งแรงของมวลกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยหมดระดู วิธีการดูแลสุขภาพของมวลกล้ามเนื้อและกระดูกในวัยหมดระดูมีดังนี้

  • การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักน้อย (Low-impact weight bearing exercise) เช่น การเดิน การวิ่งจ๊อกกิ้ง การเต้นรำ อย่างน้อย 40 นาทีต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกโดยตรง เป็นการกระตุ้นการสร้างและยับยั้งการสลายของกระดูก

  • การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strengthening exercise) ทำการเกร็งโดยใช้น้ำหนักและแรงโน้มถ่วงของตัวเอง หรือใช้น้ำหนักถ่วง ที่น้อยกว่า 10 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่ละมัด และแรงดึงของกล้ามเนื้อจะช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกได้ ให้ผลดีต่อการรักษาความหนาแน่นของกระดูกและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

  • การออกกำลังกายเพื่อพัฒนาการทรงตัว (Balance exercise) เช่นการรำมวยไทชิ (Tai chi) ร่วมกับการกำหนดการหายใจและการฝึกสมาธิ ในขณะฝึกมีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ เช่น เพิ่มทักษะการทรงตัว ความยืดหยุ่น ทักษะการเคลื่อนไหว เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จะช่วยให้ทรงตัวได้ดีขึ้น ความเสี่ยงในการหกล้มจะลดลง

  • โภชนาการที่เหมาะสม (Balanced diet) การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์สำหรับกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น อาหารที่มีแคลเซียม วิตามิน D โปรตีน และวิตามิน K อย่างเหมาะสม เป็นต้น
    • ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับคือ 1000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งได้จากสารอาหารหรือการเสริมแคลเซียม
    • วิตามิน ดี ช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมผ่านทางลำไส้ ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงลดความเสี่ยงของการหกล้ม ในช่วงวัยหมดระดูร่างกายต้องการวิตามินดี ให้เพียงพอ 600-800 IUต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดวิตามินดี โดยรับวิตามินดีจากแสงแดด (ช่วงเวลา 9.00-15.00 น) เป็นเวลา 15-20 นาที 3 ครั้ง/สัปดาห์ และอาหาร อาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่นปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ไข่แดง นม ตับ เห็ด หรือนมที่มีการเติมวิตามินดี รวมถึงการกินวิตามินดีเสริม แบ่งเป็น vitamin D2 ปริมาณ 20,000 IU ต่อสัปดาห์ หรือ vitamin D3 ปริมาณ 800-2000 IU ต่อวัน
    • สารอาหารโปรตีน ปริมาณโปรตีนที่เพียงพอ 1-1.2 กรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่มากกว่า 2 กรัม/กิโลกัม/วัน ซึ่งจะไม่รบกวนแคลเซียมเมแทบอลิซึมและความหนาแน่นของกระดูก เช่น ถ้าน้ำหนัก 50 กิโลกรัมให้รับประทานโปรตีน 50 กรัมต่อวัน เป็นต้น

5.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestylemodification) : ลดการดื่มสุรา หยุดสูบบุหรี่ ลดการดื่มชากาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดอาหารรสเค็ม และเพิ่มกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนไหวระหว่างวัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของกระดูก

6.การตรวจสุขภาพประจำปี (Regular health check up) : การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจสุขภาพของกระดูกและมวลกล้ามเนื้อ และสามารถช่วยวินิจฉัยและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพกระดูกได้ในระยะเริ่มต้น

การตรวจติดตามความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ โดยการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (BMD) ด้วยวิธีมาตรฐานคือการตรวจด้วยเครื่องที่เรียกว่า DXA SCAN ผู้ที่ควรตรวจวัด BDMได้แก่

➢ ผู้ชายอายุ 70ปีขึ้นไป

➢ ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป

➢ ผู้หญิงที่หมดระดู ก่อนอายุ 45ปี

➢ มีภาวะเอสโตรเจนต่ำต่อเนื่องเกิน 1 ปีก่อนถึงวัยหมดระดู

➢ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้ยาต้านฮอร์โมน

➢ ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้ยาต้านฮอร์โมน

➢ ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ติตต่อกันเกิน 3 เดือน (prednisolone ≥ 5 mg/day)

➢ ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย ( BMI) น้อยกว่า 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

➢ ผู้ที่บิดามารดามีประวัติกระดูกสะโพกหัก

➢ ผู้ที่มีส่วนสูงลดลงอย่างน้อย 4 เซนติเมตร

➢ ผู้ที่เอกซเรย์พบกระดูกบางหรือกระดูกสันหลังหัก

➢ ผู้ที่กระดูกหักจากการกระแทกที่ไม่รุนแรง

7.การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (Menopausal Hormone Therapy; MHT) : โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอาการวัยหมดประจำเดือนและแสดงให้เห็นประโยชน์ต่อสุขภาพในการป้องกันกระดูกหัก อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจใช้ MHT ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น และต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

8.ยารักษาโรคกระดูกพรุน : สำหรับคนที่มีภาวะกระดูกพรุนและมีความเสี่ยงสูงถึงสูงมากต่อกระดูกหัก อาจกำหนดให้ใช้ยากลุ่มต้านการสลายกระดูก เช่น Bisphosphonates, Denosumab, Raloxifen และ MHT เป็นต้น หรือยากลุ่มกระตุ้นการ

9.การป้องกันหกล้ม (Fall prevention) : การป้องกันการล้มเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาจเสี่ยงต่อการล้มได้ง่ายกว่าเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การทรงตัวลดลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และการมองเห็นเปลี่ยนแปลง โดยมีวิธีป้องกันดังนี้

การออกกำลังกาย : การออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความสมดุล ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการหกล้มได้ มักแนะนำให้ฝึกไทชิและโยคะ

การปรับเปลี่ยนความปลอดภัยภายในบ้าน : การป้องกันอันตรายจากการสะดุดล้ม เช่น พรมที่หลวมหรือสายไฟ การติดตั้งราวจับในห้องน้ำและบันได และการปรับปรุงแสงสว่างให้เพียงพอทำให้สภาพแวดล้อมในบ้านปลอดภัยยิ่งขึ้น

การปรับยารักษาโรคประจำตัว : ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะหรือส่งผลต่อการทรงตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม การทบทวนยากับแพทย์ผู้รักษาและการปรับเปลี่ยนหากจำเป็นสามารถช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้

การตรวจสายตาเป็นประจำ : การมองเห็นที่ไม่ดีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มได้ การตรวจสายตาเป็นประจำสามารถช่วยการมองเห็นที่ดีขึ้นได้

รองเท้าที่เหมาะสม : การสวมรองเท้าที่พอดีและมีพื้นรองเท้าที่ไม่ลื่นไถลสามารถสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงในการลื่นไถลได้

อุปกรณ์ช่วยเหลือ : การใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า หากจำเป็น สามารถใช้เพื่อสร้างความมั่นคงในการเดินได้

ระบบตรวจจับการล้ม : สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะล้ม อุปกรณ์สวมใส่หรือระบบติดตามภายในบ้านสามารถแจ้งเตือนในกรณีที่ล้มได้ ช่วยให้สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที

การศึกษาและการตระหนักรู้ : การให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุและผู้ดูแลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการล้มและการจัดการที่ดีในการป้องกัน สามารถช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสม

สุขภาพของมวลกระดูกและกล้ามเนื้อในวัยหมดระดูเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกายที่เหมาะสม ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การป้องกันการหกล้มและการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนและภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและสามารถลดความเสี่ยงต่อกระดูกหัก การรักษาด้วยฮอร์โมนและยารักษาโรคกระดูกพรุนสามารถรักษาได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ข้อมูลโดย พญ.แก้วตา เรืองรัตนภูมิ

No photo description available.

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใบรับรองแพทย์ 5 โรค

ใบรับรองแพทย์ 5 โรค

จากกรณีที่ ราชกิจจานุเบกษา แพร่ “กฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค 2566”กำหนด "4 โรคห้ามเข้ารับราชการ" ชวนรู้จักใบรับรองแพทย์ 5 โรค ที่เป็นพื้นฐานของหลายบริษัท สถานศึกษา และงานราชการ ต้องคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น 5 โรคมีอะไรบ้าง ? จากกรณีที่18 สิงหาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ “กฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค พ.ศ. 2566” 4 โรคต้องห้ามรับราชการที่ประกอบด้วย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฎอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรง และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ (ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการแพทย์ ของ ก.พ. กำหนด) เพื่อให้ทางราชการได้มาและรักษาไว้ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้มีสุขภาพทางกายและจิตเหมาะสม และไม่เป็นโรคร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ได้มีการยกเลิก “โรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ” ออกจากลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน เนื่องจากโรควัณโรคมีแนวโน้มที่ลดลงและใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ ก็สามารถหายได้ ชวนรู้จักคัดกรองขอใบรับรองแพทย์ 5 โรค คืออะไร ? การเข้าทำงานเป็นพนักงานหรือเข้าศึกษาในสถาบันหลายแห่ง จำเป็นต้องผ่านการตรวจโรคหรือตรวจร่างกายหลายอย่างเพราะการมีสุขภาพที่ดีและไม่มีโรคติดต่อร้ายแรงเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่มักมีกำหนดไว้ ดังนั้น เมื่อเราผ่านการคัดเลือกแล้ว ทางต้นสังกัดจะให้เราไปตรวจร่างกายตามสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ หากผู้เข้ารับการตรวจมาพร้อมกับแบบฟอร์มที่มีรายการตรวจจากต้นสังกัดว่าต้องการผลตรวจอะไรบ้าง? ก็จะทำให้แพทย์ตรวจได้ตรงตามความต้องการ แต่ผู้เข้ารับการตรวจบางท่านก็ทราบเพียงแต่ว่า ต้องการตรวจสุขภาพเพื่อให้ได้ “ใบรับรองแพทย์ 5 โรค” ส่วน 5 โรคที่ว่านั้นจะมีโรคอะไรบ้าง? แล้วทำไมต้องตรวจ 5 โรคนี้ ผู้เข้ารับการตรวจอาจจะยังไม่ทราบโดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย 5 โรค ดังนี้ วัณโรคในระยะแพร่เชื้อ โรคเท้าช้าง โรคที่เกิดจากสารเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคอื่นๆ ที่เรื้อรัง ร้ายแรง หรือมีอาการแสดงอย่างชัดเจนจนเป็นอุปสรรคต่อทำงานหรือการเรียน มาตรฐานของการตรวจสุขภาพเพื่อขอใบรับรองแพทย์ 5 โรค ? การตรวจ 5 โรคตามที่กล่าวมานั้น แพทย์สามารถตรวจและวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และดูอาการเบื้องต้น โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดหรือตรวจปัสสาวะเลย แต่ในบางรายหากต้นสังกัดระบุมาว่า ต้องการผลเลือด ผลปัสสาวะ หรือผลการเอกซเรย์ใดๆ เพื่อยืนยันว่าผู้เข้ารับการตรวจมีสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การตรวจก็อาจจะแตกต่างไป ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงอยู่ที่ต้นสังกัดว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไรและต้องการตรวจอะไรบ้าง ละเอียดแค่ไหน? เพื่อจะได้ตรวจให้ครบถ้วนและมีใบแจ้งผลที่สมบูรณ์ สามารถนำไปใช้ประกอบการเข้าทำงานสถานประกอบการ รับราชการหรือการศึกษาต่อได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

อันตรายจากแคดเมียม

อันตรายจากแคดเมียม

แคดเมียมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร จะเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิตจับกับโปรตีน albumin ถูกส่งไปที่ตับ ทำให้มีอาการอักเสบที่ตับ บางส่วนของแคดเมียมจะจับตัวกับโปรตีนอีกชนิดหนึ่ง (metallothionein) เข้าไปสะสมในตับและไต และถูกขับออกทางปัสสาวะ โดยขบวนการขับแคดเมียมออกจากไตเกิดขึ้นช้ามาก ใช้เวลาถึงประมาณ 20 ปี ถึงสามารถขับแคดเมียมออกได้ครึ่งหนึ่งของแคดเมียมที่มีการสะสมอยู่ในไตออกได้ ทำให้มีอาการกรวยไตอักเสบ ผู้ที่ได้รับแคดเมียมเรื้อรัง มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด ไต ต่อมลูกหมาก และตับอ่อน มีรายงานผู้ป่วยที่กินข้าวที่เพาะปลูกจากแหล่งที่ดินมีการปนเปื้อนแคดเมียม จะมีอาการของโรคกระดูกพรุน และกระดูกมีการเจริญที่ผิดปกติ รวมถึงโรคอิไต-อิไต (Itai-Itai disease) อีกด้วย แคดเมียมอันตรายต่อร่างกายอย่างไร ผลเฉพาะที่ ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ ถ้าสัมผัสนานๆ อาจทำให้ความรู้สึกในการรับกลิ่นเสียไป และเกิดคราบ หรือวงสีเหลืองที่คอฟันทีละน้อย หลังจากที่แคดเมียมถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะมีครึ่งชีวิตที่ยาวนาน และคงอยู่ในตับและไต ผลต่อร่างกาย พิษเฉียบพลันส่วนใหญ่ เกิดจากการหายใจเอาฝุ่น หรือฟูมแคดเมียม ซึ่งเกิดขึ้น เมื่อแคดเมียมถูกทำให้ร้อน โดยทั่วไป ระยะเวลาหลังจากสัมผัสสารจะยาวนาน 2-3 ชั่วโมงก่อนแสดงอาการ อาการเริ่มแรกจะมีการระคายเคืองเล็กน้อยของทางเดินหายใจส่วนต้น อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา จะมีอาการไอ เจ็บปวดใน ทรวงอก เหงื่อออกและหนาวสั่น ซึ่งเป็นอาการที่ คล้ายกับการติดเชื้อทั่วไปของทางเดินหายใจส่วนต้น ต่อมา 8-24 ชั่วโมง หลังจากสัมผัสสารอย่างฉับพลัน อาจเห็นอาการระคายเคืองอย่างแรงที่ปอด เจ็บปวดในทรวงอก หายใจลำบาก ไอ และอ่อนเพลีย อาการหายใจลำบากจะรุนแรงขึ้น เมื่อเกิดน้ำท่วมปอดตามมา อันตรายจากกรณีเช่นนี้ มีถึง 15% ผู้ป่วยที่รอดชีวิตอาจมีฟองอากาศในเนื้อเยื่อ และเนื้อปอดปูดนูนออกมา ซึ่งต้องใช้เวลานานในการรักษาให้หาย มีรายงานว่า พบพิษเรื้อรังเกิดขึ้น หลังจากสัมผัสฟูมแคดเมียมออกไซด์เป็นเวลานาน การรักษาเบื้องต้น หากร่างกายได้รับแคดเมียมจากการบริโภคอาหาร ให้ดื่มนมหรือบริโภคไข่ที่ตีแล้ว เพื่อลดการระคายเคืองของทางเดินอาหาร หรืออาจทําให้ถ่ายท้องด้วย Fleet’s Phospho Soda (เจือจาง 1:4 ด้วยนํ้า) 30-60 มิลลิกรัม เพื่อลดการดูดซึมแคดเมียม ที่มา : เว็บไซต์สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ https://www.thaihealth.or.th/?p=360223 โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมีบริการตรวจ ที่แผนก check up ทุกวันพุธ ตรวจด้วยการเก็บปัสสาวะ การเตรียมตัว (หลีกเลี่ยงอาหารทะเลอย่างน้อย 3 วัน ก่อนตรวจ) รู้ผลใน 7 วัน ราคาประมาณ 1,500 บาท (รวมค่าบริการและค่าแพทย์) ตรวจจากเลือด (หาสารแคดเมียม) ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร รู้ผลใน 5 วัน ราคาประมาณ 1,500 บาท (รวมค่าบริการและค่าแพทย์) หมายเหตุ วิธีการเลือกตรวจขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณาตามความเสี่ยงที่สัมผัสสาร จึงจำเป็นต้องพบแพทย์ก่อนตรวจทุกราย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

วัคซีน RSV

วัคซีน RSV

วัคซีน RSV คืออะไร? วัคซีนอาร์เอสวี (Respiratory syncytial virus Respiratory syncytial virus; RSV) “Arexvy” ใช้สำหรับกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower Respiratory Tract Disease; LRTD) ที่มีสาเหตุมาจาก respiratory syncytial virus โดยมักมีอาการคล้ายเป็นหวัดธรรมดา คือ ไอ มีน้ำมูก เล็กน้อย และไม่มีไข้ แต่ในกลุ่มผู้สูงอายุอาจมีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรง เช่น มีภาวะปอดอักเสบ ปอดบวม หรือเสียชีวิตได้ซึ่งผลของวัคซีนจะช่วยทำให้ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อได้ โดยฉีดเพียง 1 เข็ม เท่านั้น ประโยชน์หลังจากที่ฉีดวัคซีนป้องกัน RSV มีดังนี้? ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส RSV ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ RSV ในกรณีที่ติดเชื้อ RSV ในผู้สูงอายุ จะช่วยลดความรุนแรงของโรคจากอาการไอ หายใจลำบาก ภาวะปอดอักเสบ และความเสี่ยงต่อการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงจากการติดเชื้อ RSV เช่น ปอดบวม (pneumonia) และหลอดลม ฝอยอักเสบ (bronchiolitis) ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก RSV โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงสูง ทำไมผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีน RSV เนื่องจากเป็นโรคที่พบมากในเด็กเล็ก และมักมีการแพร่เชื้อจากการสัมผัสในโรงเรียน และนำเชื้อมาให้คนในบ้าน รวมถึงผู้สูงอายุและผู้ปกครอง โรค RSV ไม่มียารักษาโรคโดยเฉพาะ เป็นการรักษาตามอาการ หากเกิดกับผู้สูงอายุทำให้ผู้สูงอายุมีอันตรายและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าในเด็กเนื่องจากผู้สูงอายุมักจะมีโรคประจำตัวร่วม ผลข้างเคียงของวัคซีน RSV อาการไม่พึงประสงค์ที่ได้รับรายงานบ่อยที่สุดในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ได้แก่ ปวดบริเวณที่ฉีดยา (61%) อ่อนล้า (34%) ปวดกล้ามเนื้อ (29%) ปวดศีรษะ (28%) ปวดข้อ (18%) อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้มัก มีความรุนแรงเล็กน้อยหรือปานกลางและหายไปภายใน 2-3 วัน หลังฉีดวัคซีน ข้อควรระวังในการรับวัคซีน RSV ห้ามฉีด Arexvy ให้ผู้ที่มีอาการแพ้สารออกฤทธิ์หรือส่วนประกอบใด ๆ ของวัคซีน ควรระมัดระวังการฉีด Arexvy ในผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือผู้ที่มีความผิดปกติในการแข็งตัว ของเลือด เนื่องจากอาจทำให้มีเลือดออกหลังฉีด ไม่แนะนำให้ฉีด Arexvy ในระหว่างตั้งครรภ์ และในสตรีที่ให้นมบุตร สอบถามเพิ่มเติมคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ หรือศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ 039-319888

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบบี เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ก่อโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัตับอักเสบบีนี้ ซึ่งจะฉีดทั้งหมด 4 ครั้ง ในทารกที่ฉีดตั้งแรกเกิด และในวัยอื่นๆโดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ดังนี้ เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเข็มแรก เมื่อพบแพทย์ตรวจแล้วว่าไม่มีภูมิคุ้มกันและแพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับวัคซีนนี้ วัคซีนเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน กลุ่มที่แนะนำให้ได้รับวัคซีนไวรัสอับอักเสบบี ทารกแรกเกิดทุกราย ทุคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในโรงพยาบาล ผู้ที่ได้รับการฟอกไต ผู้ที่ต้องได้รับเลือดเป็นประจำ กลุ่มรักร่วมเพศ ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด ผู้ที่ต้องเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบี การตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี * เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 10 ปี) ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีน * เด็กโต (อายุ 10 ปีขึ้นไป) และผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเคยติดเชื้อมาแล้ว ซึ่งอาจมีภูมิคุ้มกันโรคแล้วตาม ธรรมชาติหรือเป็นพาหะ ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อตรวจเลือดประกอบกับการพิจารณาว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่ วัคซีนนี้จะป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้หลังฉีด 10 วัน อาการข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี อาจมีอาการปวด บวม หรือมีไข้ต่ำๆ อาการมักเริ่มราว 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด และเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอัเสบเอ มีทั้งแบบวัคซีนเชื้อเป็น และวัคซีนเชื้อตาย แต่ที่ใช้กันอย่างเเพร่หลายในประเทศไทย คือ วัคซีนเชื้อตาย โดยประสิทธิภาพการป้องกันโรคได้ร้อยละ 94-100 โดยเฉพาะหลังได้รับวัคซีน 2-4 สัปดาห์ จะสามารถป้องกันโรคได้เกือบร้อยละ 100 ผู้ที่ได้รับการฉีดัคซีนไวรัสตับอักเสบเอครบ 2 เข็ม ในระยะเวลาห่างกัน 6-12 เดือน จะสามารถกระตุ้นภูมิในร่งกายได้ยาวนานกว่า 30ปี กลุ่มที่แนะนำให้ได้รับวัคซีนไวรัสอับอักเสบเอ ผู้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบเอ ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หรือผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ กลุ่มรักร่วมเพศ(ชาย) ผู้ที่มีหน้าที่ปรุงอาหารทั้งขายและพ่อบ้านแม่บ้านที่ต้องปรุงอาหารให้สมาชิกในครอบครัวรับประทาน ผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศที่มีความเสี่ยงด้านสุขอนามัยต่ำหือมีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ อาการข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ ปวด แดงบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย มีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร สอบถามเพิ่มเติมที่แผนกส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

วัคซีนปอดอักเสบสำหรับผู้สูงอายุ

วัคซีนปอดอักเสบสำหรับผู้สูงอายุ

วัคซีนปอดอักเสบ ปรับราคา เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวามคม 67 นี้ วัคซีนปอดอักเสบ (IPD) ชนิด 13 สายพันธุ์ ราคา 2,650 บาท (จากปกติ 3,300 บาท) วัคซีนปอดอักเสบ (IPD) ชนิด 23 สายพันธุ์ ราคา 1,900 บาท (จากปกติ 2,300 บาท) โรคปอดอักเสบเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ แต่กับผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ที่มีภูมิต้านทานที่ลดลง มีโรคประจำตัว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้สูงอายุเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 4 ในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดอักเสบ ทั้งภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคปอดอักเสบ นอกจากการพาผู้สูงอายุเข้ารับวัคซีนปอดอักเสบ เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรค ที่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคปอดอักเสบได้แล้ว การดูแลตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เสี่ยงต่อโรคและความเจ็บป่วยจากโรคปอดอักเสบอีกด้วย นัดหมายแพทย์ คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php