มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก

เชื้อ HPV เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ซึ่ง HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่เมื่อติดเเล้วมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปาดมดลูก ได้แก่ HPV 16 , 18 , 31 , 33 , 35 , 39 , 45 , 52 , 56 โดยเฉพาะเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่นับว่ามีความเสี่ยงสูงมากกว่าตัวอื่น ๆ

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

  1. ปัจจัยเสี่ยงทางเพศหญิง

    1. การมีคู่นอนหลายคน

    2. การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยกว่า 17 ปี

    3. การตั้งครรภ์และการคลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง

    4. มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น

    5. ไม่เคยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาก่อน

  2. ปัจจัยทางฝ่ายชาย

    1. ผู้ชายที่เป็นมะเร็งองคชาต

    2. ผู้ชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก

    3. ผู้ชายที่เคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    4. ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย

    5. ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน

  3. ปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก

    1. การสูบบุหรี่

    2. ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ และการได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

อาการของมะเร็งปากมดลูก

  1. ตกเลือดทางช่องคลอด

    • เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน

    • เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์

    • มีน้ำออกปนเลือด

      ตกขาวปนเลือด

  1. อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลาม

    • ขาบวม

    • ปวดหลังรุนแรง

    • ปัสสาวะเป็นเลือด

    • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด

การป้องกันมะเร็งปากมดลูก

บทความที่เกี่ยวข้อง

เชื้อราในช่องคลอด

เชื้อราในช่องคลอด

เชื้อราในช่องคลอด ในช่องคลอดของสตรีจะมีเชื้อแบคทีเรียที่คอยปกป้องช่องคลอดจากเชื้อราที่เป็นอันตราย โดยจะสร้างกรดมาควบคุมไม่ให้เชื้อราเจริญได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใดที่ช่องคลอดมีภาวะไม่สมดุล หรือมีปัจจัยที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย ช่องคลอดก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อนี้และมีอาการแสดงขึ้น เช่น คนในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอด มีตกขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม อาจมีความรู้สึกเจ็บขณะร่วมเพศ ปัสสาวะแสบขัด มีผื่นแดงที่ช่องคลอดหรือขาหนีบ การรักษา เมื่อเเพทย์ตรวจจนได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อราที่ช่องคลอด แพทย์มักจะพิจารณารักาาด้วยยาปฏิชีวนะตามความเหมาะสม การป้องกัน ดูแลจุดซ่อนเล้นให้สะอาด ไม่อับชื้น สวมกางเกงชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี ลดความอับชื้น ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด กรณีมีความจำเป็นควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ หลีกเลี่ยงการรับประทานยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น เนื่องจากยาปฏิชีวนะบางตัวมีผลทำลายแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอด สอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

มะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่ ปกติผู้หญิงจะมีรังไข่สองข้าง โอกาสที่จะเกิดมะเร็งรังไข่ทั้งสองข้างพร้อมๆ กันมีประมาณ 25% และเป็นโรคที่พบได้ตั้งแต่อายุน้อย และมีโอกาสเสี่ยงสูงมากขึ้นเมื่อผู้หญิงมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ประวัติการณ์ของโรคมะเร็งรังไข่ในไทยเป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีพบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากมะเร็งปากมดลูก และเป็นอันดับ 6 ของมะเร็งทั้งหมดที่พบในหญิงไทย ซึ่งอุบัติการณ์ของมะเร็งรังไข่ 5.2 ต่อประชากรสตรี 100,000 คนต่อปี ปัจจุบันได้มีการค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ สาเหตุการเกิดมะเร็งรังไข่ สามารถเกิดขึ้นได้ 3 กลุ่มใหญ่คือ มะเร็งฟองไข่ที่เกิดจากเซลล์ตัวอ่อน มีโอกาสพบได้ 5% มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวรังไข่ ซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่คือประมาณ 90% มะเร็งเนื้อรังไข่ ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยมาก “สาเหตุ” ของการเกิดมะเร็งรังไข่ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ยิ่งในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็งก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น พบในคนอ้วนมากกว่าคนผอม เกิดกับคนที่มีประจำเดือนเร็วคืออายุน้อยกว่า 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี คนที่มีภาวะมีบุตรยากและต้องใช้ยากระตุ้นการตกไข่ หญิงที่ยังไม่เคยตั้งครรภ์ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่สูงกว่าหญิงที่เคยตั้งครรภ์มากกว่า 2 ครรภ์ขึ้นไป อาการเริ่มต้นของ “มะเร็งรังไข่ น่าแปลกที่อาการเริ่มแรกแทบไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่เลย เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ กินอาหารนิดเดียวก็รู้สึกอึดอัดในช่องท้อง รวมถึงมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก เบื่ออาหาร น้ำหนักขึ้นหรือลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้ทำให้หลายคนประมาทและไม่คิดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของมะเร็งรังไข่ได้ กว่าจะพบก็มักจะเป็นในระยะลุกลามไปแล้ว คือจะคลำพบก้อนเนื้อบริเวณท้องน้อยเริ่มมีอาการปวดท้อง หรือมีน้ำในช่องท้อง 4 ระยะของมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1: เซลล์มะเร็งกระจายอยู่เฉพาะรังไข่ หากมีการตรวจพบในช่วงนี้ ก็จะทำการผ่าตัดรักษาได้ทันท่วงที โดยที่ยังไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ หากมีการตรวจภายในเป็นประจำก็มีโอกาสที่จะพบในระยะนี้ได้มากกว่าคนที่ไม่เคยตรวจเลย ระยะที่ 2: เซลล์มะเร็งกระจายไปสู่อุ้งเชิงกราน ก็ยังอยู่ในระยะที่ตรวจพบได้น้อยเช่นกัน เนื่องจากไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย ทำให้มะเร็งรังไข่ลุกลามกลายเป็นภัยเงียบที่อันตรายกว่าที่หลายคนคิด ระยะที่ 3: เซลล์มะเร็งกระจายไปสู่เยื่อบุช่องท้อง เป็นระยะที่มักตรวจพบมากที่สุด เนื่องจากหน้าท้องจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนสังเกตเห็นได้ถึงความผิดปกตินี้ เนื่องจากสารน้ำต่างๆ ในท้องมากขึ้น และคนไข้จะมีอาการตึงและแข็งที่ท้องมากขึ้น แต่น้ำหนักกลับลดลง ระยะที่ 4: เซลล์มะเร็งกระจายเข้าสู่อวัยวะอื่นๆ นอกช่องท้อง อาจไล่ไปที่ตับ ปอดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น กลุ่มเสี่ยงที่เกิดมาข้างต้นและมีอาการแปลกๆ จึงไม่ควรมองข้าม เพราะในระยะแรกจะสามารถรักษาได้ง่ายกว่าในระยะอื่นๆ ดังนั้นผู้หญิงเราจึงควรป้องกันด้วยการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และเน้นการตรวจภายในหรือตรวจอัลตร้าซาวด์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรลดการรับประทานไขมันจากสัตว์ เพราะหากทานปริมาณที่มากเกินไปก็อาจมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ได้มากเท่านั้น และรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาหากพบความผิดปกติอย่างเร่งด่วน ซึ่งก็มีตั้งแต่การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด และการฉายรังสี ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง

การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง

การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีภูมิใจเสนอเทคโนโลยีการผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษาโรคทางนรีเวช ตั้งแต่กระบวนการตรวจพบปัญหาจนถึงการรักษา เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการอย่างมีคุณภาพแก่ผู้ป่วยของเรา การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้องคืออะไร? การผ่าตัดผ่านกล้อง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Laparoscopic Surgery เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้กล้องขนาดเล็กและเครื่องมือพิเศษช่วยในการผ่าตัดโดยไม่ต้องกรีดเปิดแผลกว้างแบบการผ่าตัดดั้งเดิม ซึ่งกล้องจะมีกำลังขยายที่สูงทำให้แพทย์สามารถมองเห็นได้ชัดเจนและทำการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งหลังผ่าตัดจะมีแผลขนาดเล็กที่ทิ้งรอยน้อยกว่าการผ่าตัดทั่วไป ทำไมการผ่าตัดผ่านกล้องถึงน่าสนใจ? แผลขนาดเล็ก: การผ่าตัดผ่านกล้องจะทำให้ได้แผลที่มีขนาดเล็กกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ฟื้นตัวเร็ว: เนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยมักจะรู้สึกดีขึ้นและฟื้นตัวได้เร็วกว่ามาก สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ: แผลขนาดเล็กทำให้โอกาสในการติดเชื้อลดลง เจ็บน้อยลง: การใช้กล้องและเครื่องมือพิเศษทำให้เกิดแผลเล็กๆ เจ็บปวดหลังการผ่าตัดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดซึ่งมีแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ ผลลัพธ์ที่ดีกว่า: กล้องกำลังขยายสูงให้การมองเห็นที่ชัดเจนและแม่นยำขณะทำผ่าตัดส่งผลแพทย์สามารถทำการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช (Laparoscopic Gynecologic Surgery) สามารถวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติต่าง ๆ ได้ดังนี้ เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids): เนื้องอกที่เกิดในผนังของมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหรือเลือดออกผิดปกติ ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts): ซีสต์หรือถุงน้ำที่เกิดในรังไข่ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการปวดหรือมีความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ร้ายแรง ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): โรคที่เกิดจากการมีเนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตนอกมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดท้องและปัญหาการเจริญพันธุ์ ปัญหาเกี่ยวกับท่อนำไข่ (Fallopian Tube Issues): การอุดตันหรือการบาดเจ็บที่ท่อนำไข่ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการตั้งครรภ์ โรคพังผืดในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Adhesions): พังผืดที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการผ่าตัดก่อนหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและปัญหาการตั้งครรภ์ การตกเลือดผิดปกติ (Abnormal Uterine Bleeding): อาการเลือดออกผิดปกติที่อาจเกิดจากปัญหาหลายประการ เช่น เนื้องอกในมดลูกหรือการเจ็บป่วยทางนรีเวชอื่นๆ การรักษาภาวะมดลูกหย่อน (Uterine Prolapse): ภาวะที่มดลูกเคลื่อนที่ลงมาจากตำแหน่งปกติ ซึ่งอาจต้องการการรักษาเพื่อฟื้นฟูการทำงานของมดลูก การผ่าตัดเพื่อการวินิจฉัย (Diagnostic Laparoscopy): ใช้เพื่อค้นหาสาเหตุของอาการที่ไม่ชัดเจนหรือเพื่อประเมินปัญหาทางนรีเวชที่ไม่สามารถระบุได้ด้วยการตรวจแบบอื่น การผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวชมีข้อดีในการลดขนาดของแผลและลดระยะเวลาการพักฟื้น ดังนั้นจึงมักเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและมีผลข้างเคียงหลังผ่าตัดน้อย หากพบมีอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคที่กล่าวมาข้างต้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัดผ่านกล้อง? การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้องเหมาะสำหรับการรักษาหลายกรณี เช่น การรักษาเนื้องอกในมดลูก, การรักษานิ่วในถุงน้ำดี, และการรักษาปัญหาทางนรีเวชอื่นๆ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีเรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง หากท่านการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง หรือปรึกษาเกี่ยวกับความต้องการด้านการรักษากรุณาติดต่อเราเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 039-319888

ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

“ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ” (PCOS) “ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ” (PCOS) เป็นภาวะที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่เป็นหนึ่งในภาวะที่ผู้หญิงเป็นมากแต่ไม่รู้ตัว มักมีปัจจัยเสี่ยงมาจากน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากๆ ส่งผลให้มีความผิดปกติต่อรอบประจำเดือน ซึ่งก่อให้เกิดการมีฮอร์โมนที่ผิดปกติด้วยส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงช่วงอายุน้อยๆ หรือเป็นวัยที่ยังไม่หมดประจำเดือน ซึ่งหากปล่อยไว้นานเข้าอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายอย่างโรคหัวใจ ภาวพมีบุตรยาก และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ในอนาคต ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) เป็นที่รู้จักมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งผู้หญิงเป็นกันเยอะแต่ไม่ค่อยรู้ตัว โดยเป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในเพศหญิง ส่งผลให้ในรังไข่แต่ละข้างจะมีฟองไข่หรือถุงน้ำมากกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติในรังไข่จะมีถุงน้ำใบเล็กๆ เพียงไม่กี่ใบ คือเป็นถุงน้ำที่พร้อมจะตกไข่ แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบจะพบถุงน้ำเป็นสิบใบ ซึ่งมีสัญญาณและภาวะต่างๆ เกิดขึ้นมาพร้อมกัน อาทิ อ้วนและมีสิวขึ้น ผิวมัน ทำให้สาวๆหลายคนขาดความมั่นใจ แต่ภาวะดังกล่าวก็ดูเหมือนจะธรรมดาจนไม่ทำให้ฉุกคิดและละเลยสุขภาพ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบกับอาการที่ไม่ควรปล่อยไว้! มีรอบประจำเดือนที่ผิดปกติ เช่น ประจำเดือนขาดหายไปหลายเดือน มาไม่สม่ำเสมอ สองเดือนมาครั้งหนึ่ง หรือไม่สามารถเดารอบได้เลย มีสิวขึ้นเยอะ หรือผู้ที่ทำการรักษาสิวแล้วไม่มีท่าทีว่าดีขึ้น ภาวะอ้วนกับภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ในปัจจุบันยังเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงในการเกิดโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ แต่ในหลายๆ ครั้ง มักพบในกลุ่มผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน หรือกลุ่มที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักส่งผลให้มีภาวะฮอร์โมนที่ผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ สิวขึ้นที่จุดเดิมซ้ำๆ เสี่ยงเป็นภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบจริงหรือไม่? หากเป็นสิว อาจต้องดูถึงตำแหน่งที่สิวเกิดขึ้นว่าเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมนหรือไม่ โดยวิธีสังเกตสิวที่มาจากฮอร์โมน คือจะขึ้นบริเวณทีโซนของใบหน้า หน้าอก-หลัง หรือหน้ามัน เพราะสิวส่วนใหญ่มักเกิดจากฮอร์โมนจำพวกแอนโดรเจนหรือ ซึ่งก็คือฮอร์โมนเพศชาย หากสิวที่เกิดขึ้นเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน ก็อาจแสดงถึงอาการนำของคนที่เป็นภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ ผู้หญิงคนไหนแนวโน้มมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ผู้หญิงที่มีรอบประจำเดือนผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่เป็นรอบ หรือหายไปหลายๆ เดือนแล้วมานานๆ ครั้ง ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ มีภาวะอ้วน ผู้หญิงที่มีสิวขึ้นมากกว่าปกติ มีผิวมัน มีภาวะศีรษะล้าน หรือมีภาวะขนดก ผู้หญิงที่มีประวัติมีบุตรยาก จริงอยู่ที่ไม่ใช่ภาวะรุนแรงอะไร ทำให้เกิดความชะล่าใจ แต่รู้หรือไม่ ? หากปล่อยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบไว้นานเข้า อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในอนาคต ได้ดังนี้ อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกโตหนาผิดปกติ อาจเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ ในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน อาจก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดในสมอง ทำให้มีบุตรยาก หรือหากตั้งครรภ์อาจมีโอกาสแท้งบุตรในช่วงแรกของครรภ์ได้ เกิดอาการครรภ์เป็นพิษ หรือส่งผลให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตช้ากว่าปกติได้ การตรวจวินิจฉัยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ซักประวัติความผิดปกติของประจำเดือน ตรวจดูลักษณะภายนอกของผู้ป่วย เช่น น้ำหนัก ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หรือประวัติของครอบครัว ว่าครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งหรือไม่ ทำการตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจดูถุงน้ำในรังไข่ หากตรวจพบว่าเป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ ก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป รักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้อย่างไร? รักษาด้วยการทานยา วิธีนี้ หากผู้ป่วยยังไม่มีการวางแผนที่จะมีบุตร สามารถรักษาได้โดยการทานยาคุมกำเนิดเพื่อให้ตัวยาไปควบคุมฮอร์โมน ให้ฮอร์โมนกลับสู่สภาวะปกติ โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจึงติดตามสังเกตอาการต่อว่าหลังจากหยุดทานยาไปแล้ว ประจำเดือนกลับมาปกติหรือไม่ หากประจำเดือนของผู้ป่วยยังผิดปกติอยู่ และผู้ป่วยยังไม่มีการวางแผนที่จะมีบุตรต่อไป การรักษาก็จะเป็นการทานยาคุมและติดตามผลต่อไป ควบคู่ไปกับการรักษาตามสาเหตุ เช่น การควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย คุมอาหาร ถ้าคนไหนที่เป็นเบาหวานอาจต้องคุมอาหารจำพวกน้ำตาลให้มากขึ้น ป้องกันภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ได้ง่ายๆ แค่ปรับพฤติกรรม เนื่องจากการเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ยังไม่อาจทราบได้ว่ามาจากสาเหตุใดอย่างแน่ชัด ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นการป้องกันโดยรวม เช่น ควบคุมน้ำหนัก กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ไม่กินแป้ง หรือน้ำตาลมากเกินไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำให้ตนเองอยู่ในสภาวะเครียดมากเกินไป ทั้งนี้ การตรวจภายในก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด รวมถึงตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อัลตร้าซาวด์มดลูก รังไข่ ช่องท้อง หรือตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เนื่องจากเปรียบเสมือนการตรวจเช็คร่างกาย หากพบรอยโรคหรือภาวะที่อาจก่อให้เกิดโรคทางนรีเวชได้ก่อนที่มันจะร้ายแรง ก็สามารถรับมือและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่(Endometriosis)

เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่(Endometriosis)

เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่(Endometriosis) สตรีวัยเจริญพันธุ์จะมีเยื่อบุงอกหนาขึ้นในทุก ๆ เดือนอยู่บนพื้นผิวของโพรงมดลูก เมื่อเวลาผ่านไปไม่มีการปฏิสนธิและฝังตัวของตัวอ่อนเกิดขึ้น เยื่อบุนี้จะมีการสลายตัวกลายเป็นประจำเดือน ซึ่งนับเป็นวงจรปกติ แต่หากเมื่อใดเยื่อบุนี้ไปเจริญอยู่บริเวณอื่นที่ไม่ใช่ผิวของโพรงมดลูก เรียกว่า เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เยื่อบุเหล่านี้จะมีการสลายตัวทุกเป็นเลือดในทุก ๆ เดือนเช่นเดียวกัน เมื่อเลือดเหล่านี้ไม่มีช่องทางการระบายออกจะทำให้เกิดเลือดคั่งอยู่ภายใน เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ และกลายเป็นถุงซีสต์ อาการ อาการแสดงในบางรายอาจเกิดอาการปวดท้องหรือปวดหลังขณะมีประจำเดือน มักปวดมากขึ้นเมื่อถึงวันท้าย ๆ ของการมีรอบเดือน หรือปวดขณะร่วมเพศ และในบางรายอาจมีประจำเดือนออกมากกว่าปกติ การรักษา สำหรับการรักษาขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง เเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจึงต้องพิจารณาแนวทางการรักษาตามความเหมาะสมต่อไป ซึ่งแนวทางการรักษามีตั้งแต่การรับประทานยาคุมกำเนิดจนถึงผ่าตัด เพราะฉะนั้นเมื่อสงสัยไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด เมื่อความรุนแรงน้อยการรักษาก็มักจะไม่ซับซ้อนตามไปด้วย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-3198888

ตกขาว

ตกขาว

ตกขาว(ปกติ) ตกขาวปกติมักมีลักษณะเป็นมูกใสหรือคล้ายเเป้งเปียก แต่ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่คัน โดยทั่วไปแล้ว สตรีอาจมีการตกขาวบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงของการตกไข่ ช่วงของการตั้งครรภ์ หรือช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ก็อาจจะยิ่งทำให้มีการตกขาวได้ชัดเจนขึ้น หากตกขาวมีลักษณะดังกล่าวข้างต้นก็ไม่มีข้อบ่งชี้ที่จะต้องรักษาแต่อย่างใด เว้นแต่การตกขาวนั้นเป็นอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ มีสีที่เปลี่ยนแปลง มีกลิ่น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888