เทคฮอร์โมนอย่างปลอดภัย

เทคฮอร์โมนอย่างปลอดภัย

การใช้ฮอร์โมนหรือยาฮอร์โมน เพื่อปรับลักษณะ ทางกายภาพในกลุ่มคนข้ามเพศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • ฮอร์โมนสำหรับชายเป็นหญิง (Feminizing hormone therapy) สำหรับผู้ที่เพศกำเนิดเป็นเพศชายแต่ต้องการปรับสรีระร่างกายให้มีความเป็นเพศหญิง ซึ่งทำได้โดย
    • การเสริมฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน (Estrogen)
    • ยายับยั้งฮอร์โมนเพศชาย (Anti androgen agent)
  • ฮอร์โมนสำหรับหญิงเป็นชาย (Masculinizing hormone therapy) สำหรับผู้ที่มีเพศกำเนิดเป็นเพศหญิงแต่ต้องการปรับสรีระร่างกายให้มีความเป็นเพศชาย สามารถทำได้โดยการเสริมฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจน (Androgen)
    ซึ่งฮอร์โมนหลัก ๆ คือ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน

โดยการใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของร่างกายแต่ละคน ซึ่งสามารถทำได้ ทั้งการกินในรูปแบบยาเม็ด รูปแบบยาฉีด โดยยาสามารถเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง และ การให้ยาทางผิวหนัง ด้วยวิธีการแปะ หรือทายาฮอร์โมนชนิดเจล เพื่อให้ยาซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือดและออกฤทธิ์ได้โดยตรง

วางแผนเพื่อการข้ามเพศแล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ?

  • ด้านร่างกาย ดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งในกรณีนี้สามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์และรับการตรวจร่างกายก่อนการให้ฮอร์โมนได้
  • ด้านจิตใจ จำเป็นต้องได้รับการสัมภาษณ์จากจิตแพทย์ และควรผ่านแบบทดสอบทางจิตวิทยา อย่างไรก็ตาม คลินิกสุขภาพเพศ Health Care Paolo Kaset มีบริการให้คำปรึกษาโดยแพทย์เวชศาสตร์ทางเพศที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
  • ด้านสังคม สภาพสังคม และหน้าที่การงานของคุณเปิดโอกาสให้กับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ สถานที่ทำงานมีกฎเกณฑ์ในด้านเครื่องแบบตามคำนำหน้า (นางสาว , นาย) หรือไม่

ทั้งนี้ควรศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงปรึกษาแพทย์เฉพาะทางคลินิก สุขภาพเพศ Health Care Paolo Kaset เข้ารับการให้ฮอร์โมนตามที่แพทย์นัดหมาย ไม่ควรให้ฮอร์โมน/เทคฮอร์โมนด้วยตัวเอง เนื่องจากจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ที่สำคัญควรตรวจเลือดและตรวจสุขภาพตามที่แพทย์นัดหมาย ที่สำคัญควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนโดยเฉพาะ เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ไม่ควรซื้อยาฮอร์โมนมารับประทานด้วยตนเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตกขาว

ตกขาว

ตกขาว(ปกติ) ตกขาวปกติมักมีลักษณะเป็นมูกใสหรือคล้ายเเป้งเปียก แต่ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่คัน โดยทั่วไปแล้ว สตรีอาจมีการตกขาวบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงของการตกไข่ ช่วงของการตั้งครรภ์ หรือช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ก็อาจจะยิ่งทำให้มีการตกขาวได้ชัดเจนขึ้น หากตกขาวมีลักษณะดังกล่าวข้างต้นก็ไม่มีข้อบ่งชี้ที่จะต้องรักษาแต่อย่างใด เว้นแต่การตกขาวนั้นเป็นอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ มีสีที่เปลี่ยนแปลง มีกลิ่น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

ถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

“ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ” (PCOS) “ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ” (PCOS) เป็นภาวะที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่เป็นหนึ่งในภาวะที่ผู้หญิงเป็นมากแต่ไม่รู้ตัว มักมีปัจจัยเสี่ยงมาจากน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเพศชายมากๆ ส่งผลให้มีความผิดปกติต่อรอบประจำเดือน ซึ่งก่อให้เกิดการมีฮอร์โมนที่ผิดปกติด้วยส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงช่วงอายุน้อยๆ หรือเป็นวัยที่ยังไม่หมดประจำเดือน ซึ่งหากปล่อยไว้นานเข้าอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายอย่างโรคหัวใจ ภาวพมีบุตรยาก และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ในอนาคต ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) เป็นที่รู้จักมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งผู้หญิงเป็นกันเยอะแต่ไม่ค่อยรู้ตัว โดยเป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในเพศหญิง ส่งผลให้ในรังไข่แต่ละข้างจะมีฟองไข่หรือถุงน้ำมากกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติในรังไข่จะมีถุงน้ำใบเล็กๆ เพียงไม่กี่ใบ คือเป็นถุงน้ำที่พร้อมจะตกไข่ แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบจะพบถุงน้ำเป็นสิบใบ ซึ่งมีสัญญาณและภาวะต่างๆ เกิดขึ้นมาพร้อมกัน อาทิ อ้วนและมีสิวขึ้น ผิวมัน ทำให้สาวๆหลายคนขาดความมั่นใจ แต่ภาวะดังกล่าวก็ดูเหมือนจะธรรมดาจนไม่ทำให้ฉุกคิดและละเลยสุขภาพ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบกับอาการที่ไม่ควรปล่อยไว้! มีรอบประจำเดือนที่ผิดปกติ เช่น ประจำเดือนขาดหายไปหลายเดือน มาไม่สม่ำเสมอ สองเดือนมาครั้งหนึ่ง หรือไม่สามารถเดารอบได้เลย มีสิวขึ้นเยอะ หรือผู้ที่ทำการรักษาสิวแล้วไม่มีท่าทีว่าดีขึ้น ภาวะอ้วนกับภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ในปัจจุบันยังเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงในการเกิดโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ แต่ในหลายๆ ครั้ง มักพบในกลุ่มผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน หรือกลุ่มที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักส่งผลให้มีภาวะฮอร์โมนที่ผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ สิวขึ้นที่จุดเดิมซ้ำๆ เสี่ยงเป็นภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบจริงหรือไม่? หากเป็นสิว อาจต้องดูถึงตำแหน่งที่สิวเกิดขึ้นว่าเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมนหรือไม่ โดยวิธีสังเกตสิวที่มาจากฮอร์โมน คือจะขึ้นบริเวณทีโซนของใบหน้า หน้าอก-หลัง หรือหน้ามัน เพราะสิวส่วนใหญ่มักเกิดจากฮอร์โมนจำพวกแอนโดรเจนหรือ ซึ่งก็คือฮอร์โมนเพศชาย หากสิวที่เกิดขึ้นเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน ก็อาจแสดงถึงอาการนำของคนที่เป็นภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ ผู้หญิงคนไหนแนวโน้มมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ผู้หญิงที่มีรอบประจำเดือนผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่เป็นรอบ หรือหายไปหลายๆ เดือนแล้วมานานๆ ครั้ง ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ มีภาวะอ้วน ผู้หญิงที่มีสิวขึ้นมากกว่าปกติ มีผิวมัน มีภาวะศีรษะล้าน หรือมีภาวะขนดก ผู้หญิงที่มีประวัติมีบุตรยาก จริงอยู่ที่ไม่ใช่ภาวะรุนแรงอะไร ทำให้เกิดความชะล่าใจ แต่รู้หรือไม่ ? หากปล่อยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบไว้นานเข้า อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในอนาคต ได้ดังนี้ อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกโตหนาผิดปกติ อาจเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ ในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน อาจก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดในสมอง ทำให้มีบุตรยาก หรือหากตั้งครรภ์อาจมีโอกาสแท้งบุตรในช่วงแรกของครรภ์ได้ เกิดอาการครรภ์เป็นพิษ หรือส่งผลให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตช้ากว่าปกติได้ การตรวจวินิจฉัยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ซักประวัติความผิดปกติของประจำเดือน ตรวจดูลักษณะภายนอกของผู้ป่วย เช่น น้ำหนัก ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หรือประวัติของครอบครัว ว่าครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งหรือไม่ ทำการตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจดูถุงน้ำในรังไข่ หากตรวจพบว่าเป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ ก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป รักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้อย่างไร? รักษาด้วยการทานยา วิธีนี้ หากผู้ป่วยยังไม่มีการวางแผนที่จะมีบุตร สามารถรักษาได้โดยการทานยาคุมกำเนิดเพื่อให้ตัวยาไปควบคุมฮอร์โมน ให้ฮอร์โมนกลับสู่สภาวะปกติ โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจึงติดตามสังเกตอาการต่อว่าหลังจากหยุดทานยาไปแล้ว ประจำเดือนกลับมาปกติหรือไม่ หากประจำเดือนของผู้ป่วยยังผิดปกติอยู่ และผู้ป่วยยังไม่มีการวางแผนที่จะมีบุตรต่อไป การรักษาก็จะเป็นการทานยาคุมและติดตามผลต่อไป ควบคู่ไปกับการรักษาตามสาเหตุ เช่น การควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย คุมอาหาร ถ้าคนไหนที่เป็นเบาหวานอาจต้องคุมอาหารจำพวกน้ำตาลให้มากขึ้น ป้องกันภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ได้ง่ายๆ แค่ปรับพฤติกรรม เนื่องจากการเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ ยังไม่อาจทราบได้ว่ามาจากสาเหตุใดอย่างแน่ชัด ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นการป้องกันโดยรวม เช่น ควบคุมน้ำหนัก กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ไม่กินแป้ง หรือน้ำตาลมากเกินไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำให้ตนเองอยู่ในสภาวะเครียดมากเกินไป ทั้งนี้ การตรวจภายในก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด รวมถึงตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อัลตร้าซาวด์มดลูก รังไข่ ช่องท้อง หรือตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เนื่องจากเปรียบเสมือนการตรวจเช็คร่างกาย หากพบรอยโรคหรือภาวะที่อาจก่อให้เกิดโรคทางนรีเวชได้ก่อนที่มันจะร้ายแรง ก็สามารถรับมือและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก เชื้อ HPV เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ซึ่ง HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่เมื่อติดเเล้วมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปาดมดลูก ได้แก่ HPV 16 , 18 , 31 , 33 , 35 , 39 , 45 , 52 , 56 โดยเฉพาะเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่นับว่ามีความเสี่ยงสูงมากกว่าตัวอื่น ๆ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ปัจจัยเสี่ยงทางเพศหญิง การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยกว่า 17 ปี การตั้งครรภ์และการคลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น ไม่เคยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาก่อน ปัจจัยทางฝ่ายชาย ผู้ชายที่เป็นมะเร็งองคชาต ผู้ชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก ผู้ชายที่เคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน ปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ และการได้รับยากดภูมิคุ้มกัน อาการของมะเร็งปากมดลูก ตกเลือดทางช่องคลอด เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีน้ำออกปนเลือด ตกขาวปนเลือด อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลาม ขาบวม ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด การป้องกันมะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

Laser repair กระชับช่องคลอด

Laser repair กระชับช่องคลอด

“เปลี่ยนเรื่องใหญ่ ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก” คืนความสดใสให้น้องสาว ด้วยนวัตกรรมไร้ใบมีด Laser Repair เห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง #ในครั้งแรกที่ทำ Laser repair กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ช่วยเพิ่มการหดกระชับของผิวช่องคลอดทั้งเยื่อบุทำให้แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง ป้องกันปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย เพิ่มความกระชับมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น พึงพอใจทางเพศมากขึ้น แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด เป็นการรักษาด้วย Laser ที่มีความหนาแน่นกว่าช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อช่องคลอด ทำให้ท่อปัสสาวะที่มีปัญหากลับมาใช้งานได้ตามปกติ กลั้นปัสสาวะได้ดีขึ้นลดปัญหาเข้าห้องน้ำบ่อย ลดอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจาม การเตรียมตัวก่อนการรักษา ควรรักษาก่อนมีประจำเดือน หรือหลังมีประจำเดือนวันสุดท้ายไปแล้ว 1 สัปดาห์ การรักษา จะรู้สึกอุ่นๆ หรือร้อนเพียงเล็กน้อย ซึ่งแพทย์จะดูแลอย่างใกล้ชิด ผลการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความหย่อยคล้อยเดิมที่มีอยู่ ควรเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ จะรู้สึกช่องคลอดกระชับขึ้น ทั้งในเยื่อบุและผนังรอบนอก ผลที่เกิดขึ้นทันทีเกิดจากความร้อนของเลเซอร์ ส่วนคอลลาเจนที่เกิดใหม่จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์ ทำโดยแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช สอบถามเพิ่มเติม หรือนัดหมาย โทร 039 319888 #ศูนย์สุขภาพสตรี #เลเซอร์กระชับช่องคลอด, #เลเซอร์รักษาปัสสาวะเล็ด

ปวดประจำเดือน กับ ซีสต์รังไข่

ปวดประจำเดือน กับ ซีสต์รังไข่

ปวดประจำเดือน กับ ซีสต์รังไข่ "ซีสต์" มาจากภาษาอังกฤษว่า "cyst" มีความหมายว่า "ถุงน้ำ" ดังนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีเปลือกและมีน้ำหรือของเหลวภายในก็จะเรียกว่า "ซีสต์" เหมือนกันทั้งหมด โดยอวัยวะทุกอวัยวะภายในร่างกายของคนเรามีโอกาสจะเกิดซีสต์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ไขมัน กระดูก อวัยวะภายใน หรือ แม้กระทั่งสมองก็มีซีสต์เกิดขึ้นได้ ขณะที่ผู้หญิงก็จะมีความพิเศษมากกว่าผู้ชาย ตรงที่มีอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง โดยเฉพาะมีรังไข่ที่มีโอกาสเกิดซีสต์ขึ้นได้บ่อยๆ ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะเกิดซีสต์หรือถุงน้ำรังไข่ โตแล้วยุบหายไปตามรอบเดือน ซึ่งเกิดจากการตกไข่ตามปกติ ถุงน้ำรังไข่หรือซีสต์รังไข่มี 3 ประเภท ฟังค์ชั่นนัล ซีสต์ (Functional Cyst) ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากการทำงานตามปกติของรังไข่เพื่อสร้างไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายหญิง จะเป็นถุงน้ำที่โตขึ้นแล้วแตกทำให้เซลล์ไข่ไหลออกมา หลังจากนั้นถุงน้ำนี้ก็จะค่อยๆ ยุบตัวไปเอง เนื้องอกถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Tumor หรือ Ovarian Cyst) เนื้องอกรังไข่ชนิดที่มีของเหลวภายใน ซึ่งอาจเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (ไม่ใช่มะเร็ง) หรือ ชนิดร้ายแรง (มะเร็ง) ก็ได้ โดยมากเนื้องอกแต่ละชนิดมักจะมีลักษณะเฉพาะที่พอจะบอกได้ว่าเป็นชนิดใด เช่น Dermoid Cyst (ถุงน้ำเดอร์มอยด์) ซึ่งภายในถุงน้ำมักจะมีน้ำ, ไขมัน เส้นผม กระดูกและฟัน เมื่อเอ็กซเรย์ดูหรือตรวจอัลตราซาวด์ ก็มักจะบอกได้ว่าเป็นเนื้องอกชนิดนี้ ส่วนเนื้องอกถุงน้ำชนิดที่เป็นมะเร็งบางชนิด จะมีการสร้างสารเคมีที่ตรวจพบว่ามีปริมาณสูงมาก ๆ ในกระแสเลือดได้ เช่น CA 125 ก็สามารถบ่งบอกล่วงหน้าได้ว่าน่าจะเป็นมะเร็ง ถุงน้ำที่คล้ายเนื้องอก (Tumor like condition) คือถุงน้ำที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ที่เกิดขึ้นที่รังไข่ เมื่อมีรอบเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะมีเลือดซึมออกมาสะสมในถุงน้ำนี้เรื่อย ๆ จนเป็นเลือดเก่า ๆ ข้น ๆ สีคล้ายช็อกโกแลต จึงเรียกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) อาการซีสต์รังไข่ที่ควรสังเกต ส่วนใหญ่ไม่มีสัญญาณเตือนหรือมีอาการใด ๆ แต่โดยมากจะมาตรวจพบก็เมื่อคนไข้เข้ามาตรวจสุขภาพประจำปี หรือมาตรวจพบโดยบังเอิญเมื่อมีอาการของโรคอื่นๆ แต่หากมีอาการ จะสามารถ สังเกตได้ ดังนี้ มีอาการปวดท้องน้อย และถ้าปวดสัมพันธ์กับรอบเดือนก็อาจสงสัยว่าจะมีช็อกโกแลตซีสต์ บางรายอาจรู้สึกว่าปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากซีสต์โตพอสมควรและไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ บางรายแค่มีอาการหน่วงๆ ท้องน้อย บางคนไม่มีอาการเลยแต่รู้สึกหรือเข้าใจไปว่ามีหน้าท้องโตเพราะอ้วนก็ได้ บางรายมีอาการปวดท้องน้อยเฉียบพลัน จากขั้วถุงน้ำรังไข่บิด หรือถุงน้ำรังไข่แตกก็ได้ บางคนอาจมีประจำเดือนผิดปกติ คือ มามาก มากระปริบกระปรอย ปวดประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน ในกรณีร้ายแรงที่ถุงน้ำแตกออกและมีเส้นเลือดฉีกขาดอาจทำให้ตกเลือดในช่องท้องได้ ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายและมีโอกาสทำให้เสียชีวิต ทำให้เห็นได้ว่าโรคนี้แม้ไม่ใช่มะเร็งร้ายแต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และก่อให้เกิดอันตรายได้ คุณผู้หญิงควรให้ความสนใจหากมีอาการผิดปกติ ในข้อใดข้อหนึ่งดังที่ได้กล่าว ควรพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและทำการรักษา ป้องกันการเกิดซีสต์ ได้หรือไม่ ? สาเหตุถุงน้ำรังไข่ที่ไม่ใช่ Functional Cyst ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดบางชนิดเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ แต่ในปัจจุบันมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า ต้นเหตุของเนื้องอกถุงน้ำรังไข่ที่เป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่เกิดมาจากเซลล์เยื่อบุของท่อนำไข่ ที่มีการกลายเป็นเซลล์ผิดปกติ หลุดมาติดที่รังไข่ และเติบโตต่อไปเป็นมะเร็งรังไข่ จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ผู้หญิงที่ทำหมันแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งถุงน้ำรังไข่น้อยกว่าผู้หญิงที่ยังไม่ได้ทำหมัน ดังนั้น เมื่อผู้หญิงที่ไม่ต้องการมีบุตรแล้ว หรือไม่สามารถมีบุตรได้แล้ว ถ้ามีการรักษาใดๆ ที่จำเป็นต้องผ่าตัดในช่องท้อง ก็มักจะตัดท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้างออกด้วยเลย เพื่อป้องกันมะเร็งรังไข่ในอนาคตทั้งนี้ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เป็นการป้องกันโรคได้ที่ดีที่สุด ควรหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนคลายเครียด การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลให้มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจะช่วยให้ร่างกายของคุณผู้หญิงสร้างฮอร์โมนได้อย่างสมดุล ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

มีเซ็กซ์ปลอดภัยไม่ติดเชื้อ HPV

มีเซ็กซ์ปลอดภัยไม่ติดเชื้อ HPV

เซ็กซ์อย่างป้องกัน ลดเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สุ่มเสี่ยง โรคติดต่อมากมาย และเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งในผู้หญิง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากติดเชื้อ การติดเชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus รู้ทริคป้องกันโรครับวาเลนไทน์ 2023 ให้ปลอดภัย การติดเชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบมากที่สุด เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด โดย HPV แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ HPV ชนิดไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง ไม่ได้ทําาให้เกิดมะเร็งปากมดลูก แต่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ เชื้อ HPV ติดต่อได้ง่ายผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก โดยมักพบในคนช่วงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 20-30 ปี สูงถึง 2 ใน 3 คนเลยทีเดียว เมื่อติดเชื้อ เซลล์ปากมดลูกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งอาจใช้เวลานาน 10-15 ปี ซึ่งผู้หญิงที่ติดเชื้อมักจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เป็นระยะเวลานาน แต่จะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการแล้ว เช่น เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจําเดือน มะเร็งมักเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว และแม้ว่าการติดเชื้อ HPV จะเพิ่มโอกาสสูงขึ้นตามจำนวนของคู่นอน แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนแค่คนเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อ HPV ได้ หากคู่นอนของคุณมีเชื้อ HPV อยู่ก่อนแล้ว มีเซ็กซ์ปลอดภัยจากเชื้อ HPV ไม่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV มากถึง 90% ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือ ต่ำกว่า 18 ปี ไม่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะสามารถเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และก่อให้เกิดมะเร็งทวารหนักในอนาคตได้ ไม่มีเพศสัมพันธ์ด้วยการทำออรัล เพราะเชื้อ HPV สามารถก่อให้เกิดมะเร็งช่องปาก หรือมะเร็งลำคอได้ ระวังการติดเชื้อจากการใช้นิ้วมือ เนื่องจากเชื้อ HPV สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรงได้ การป้องกันที่สำคัญกว่า คือการรับฉีดวัคซีนป้องกัน HPV วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) จะกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อ HPV ปัจจุบันวัคซีน HPV มี 2 ชนิด ชนิดแรก เป็นวัคซีน HPV ชนิด 2 สายพันธุ์ ซึ่งมีการเสริมสารกระตุ้นภูมิรุ่นใหม่ เน้นป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง (HPV 16, 18 และ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็งอื่นๆ) ชนิดที่ 2 วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ ใช้ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (จาก HPV 16, 18) และหูดอวัยวะเพศ (จาก HPV 6, 11) ช่วงวัยที่เหมาะสมกับการฉีดป้องกันป้องกันมะเร็งปากมดลูก ควรฉีดในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 9-26 ปี หรืออาจขยายระยะเวลาได้ถึง 45 ปี ในผู้ชายก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นวัยที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด นอกจากนี้การตรวจหาเชื้อ HPV ในระดับดีเอ็นเอ หรือ HPV Testing จึงเป็นวิธีการค้นหาเชื้อ HPV ที่ให้ผลแม่นยำ ช่วยให้รักษาการติดเชื้อได้ทันก่อนกลายเป็นมะเร็ง ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ