ภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งพัฒนาไปมากเพื่อคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยมะเร็ง หนึ่งในนั้นคือการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเอง ช่วยกำจัดและควบคุมเซลล์มะเร็งที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมถึงเป็นมะเร็ง

โดยทั่วไปแล้วคนเราทุกคนสามารถมีเซลล์ที่ผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายได้ แต่ภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถตรวจพบและกำจัดเซลล์ดังกล่าวได้ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง แต่ในบางครั้งหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอหรือเซลล์ที่ผิดปกติบางชนิดมีความสามารถที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันก็ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้

ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) คือ การใช้ภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเซลล์มะเร็งผ่านกระบวนการหรือยาที่เข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งมีโอกาสตอบสนองต่อการรักษามะเร็งในระยะยาวและผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมีบำบัด

การพัฒนาการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดมีหลายวิธี เช่น ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษาโดยใช้ที – เซลล์บำบัด (T Cell Therapy) การใช้วัคซีนโรคมะเร็ง แต่หนึ่งในวิธีที่มีการใช้อย่างแพร่หลายคือ การกระตุ้นให้ภูมิของร่างกายสามารถตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งเรียกยาในกลุ่มนี้ว่า Immune Check Point Inhibitor

จุดเด่น Immune Check Point Inhibitor

การรักษาด้วย Immune Check Point Inhibitor พบว่ามีจุดเด่นคือ ในบางระยะสามารถทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดมากขึ้น หรือในผู้ป่วยระยะกระจายสามารถควบคุมให้โรคสงบได้นานมาก นอกจากนี้หากพิจารณาในส่วนของผลข้างเคียงพบว่าการรักษาด้วย Immune Check Point Inhibitor มีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด

ข้อจำกัด Immune Check Point Inhibitor

แม้การรักษาด้วย Immune Check Point Inhibitor จะเป็นความหวังของผู้ป่วยมะเร็ง แต่มีข้อจำกัดคือ

  • ไม่สามารถใช้รักษามะเร็งทุกชนิดได้
  • ในมะเร็งบางชนิดจำเป็นต้องมีการตรวจทางชีวภาพของเซลล์เนื้อเยื่อมะเร็งก่อนเพื่อดูว่ามีโอกาสตอบสนองต่อการรักษาแบบนี้หรือไม่

ผลข้างเคียงเมื่อรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด

อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดมีโอกาสที่จะมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น

แม้ภูมิคุ้มกันบำบัดจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยรักษาผู้ป่วยมะเร็งและเพิ่มโอกาสในการหายขาด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

บทความที่เกี่ยวข้อง

7 พฤติกรรมเสี่ยงมะเร็ง

7 พฤติกรรมเสี่ยงมะเร็ง

7 พฤติกรรมเสี่ยงมะเร็ง มะเร็งนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด เคยได้ยินไหมคะที่คนดูแลสุขภาพดีแต่กลับเป็นมะเร็งแล้วนับภาษาอะไรกับคนที่ไม่ดูแลตัวเองหรือยังดูแลไม่เพียงพอ เช็ก 7 พฤติกรรมเสี่ยงที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน ที่เปอร์เซนต์ก่อโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น พฤติกรรมสูบบุหรี่ ปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งที่เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีเปอร์เซนต์ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดได้ถึง 87% นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดมะเร็งกล่องเสียง มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ด้วย พฤติกรรมทำให้น้ำหนักเกินเกณฑ์ ทั้งการกินอาหารไขมันสูงและไม่ออกกำลังกาย ร่างกายต้องรับน้ำหนักที่มากเกินความจำเป็น นอกจากผลเสียทางด้านกายภาพแล้ว ยังส่งผลไปยังสุขภาพร่างกายอีกด้วย ทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน และมะเร็งซึ่งผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มักมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ พฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเดียวกับบุหรี่ที่ทุกคนน่าจะทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นพิษ หากบริโภคในปริมาณมากๆ สามารถทำลายตับ และทำให้เกิดไขมันอุดตันในเลือดได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร พฤติกรรมทานอาหารไม่ถูกหลัก มากไปหรือน้อยไป ทำให้สารอาหารไม่สมดุล ก่อโรคต่างๆได้ เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ และนอกจากโรคมะเร็งกระพาะอาหารแล้ว ยังเสี่ยงโรคอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เช่น โรคอ้วน โรคไขมันในเส้นเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง ฯ การติดเชื้อ เมื่อเรารับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วภูมิคุ้มกันเราจะอ่อนแอ ทำให้เจ็บป่วยลงได้ ซึ่งเป็นโอกาสหนึ่งที่ทำให้เซลล์เนื้อร้ายมีโอกาสเติบโต มีโอกาสชนะภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือที่เรียกว่าโรคแทรกซ้อน ไม่ออกกำลังกาย มีผลการวิจัยว่า การนั่งนานๆ ไม่ขยับกล้ามเนื้อ หรืออวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายบ้าง ความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ ได้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากการนั่งนานๆ ไม่มีการยืดเส้นยืดสายเพื่อเผาผลาญไขมันตามร่างกายเสียบ้าง บริเวณส่วนสะโพกและหน้าท้องของเราจะกลายเป็นจุดสะสมไขมัน ทำให้เกิดโรคอ้วนและไขมันอัดตัน และมะเร็งลำไส้ได้ในที่สุด ทั้งนี้นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วการตรวจร่างกายเป็นประจำถือ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อตรวจหารอยโรคต่างๆ เพราะหากเจอในระยะเริ่มแรกก็สามารถรักษาหายขาดได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

สัญญาณเตือนโรคมะเร็ง

สัญญาณเตือนโรคมะเร็ง

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่

ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม

ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม

ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema and Breast Cancer) ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ซึ่งไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นในตอนไหน ดังนั้นการรู้เท่าทันจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมไม่ตื่นตระหนกและรับมือได้อย่างถูกวิธี รู้จักภาวะแขนบวมหลังรักษามะเร็งเต้านม ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema and Breast Cancer) เป็นอาการแขนบวมที่เกิดขึ้นหลังจากการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ไม่ว่าจะเป็นด้วยการผ่าตัดหรือรังสีรักษา อาจเกิดขึ้นทันทีหรือหลังการรักษาไปแล้วหลายปี ซึ่งจะเกิดขึ้นกับแขนข้างเดียวกับที่เป็นมะเร็งเต้านม เกิดได้ตั้งแต่ปลายนิ้วมือไปจนถึงต้นแขน อาจเกิดขึ้นในบางบริเวณอย่างมือหรืออาจจะเกิดขึ้นทั้งแขนได้ หากบวมน้อยจะยังใช้งานแขนได้ปกติ แต่หากบวมมากอาจใช้งานแขนไม่ได้ ถ้ารีบรักษาทันทีจะช่วยให้อาการดีขึ้นและไม่บวมจนทำให้ใช้แขนไม่สะดวกได้ สาเหตุของโรค สาเหตุของภาวะแขนบวมหลังรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema and Breast Cancer) ได้แก่ ผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออกเพื่อรักษามะเร็งเต้านม การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองออกยิ่งมาก แขนยิ่งมีโอกาสบวมเพิ่มขึ้น และหากเนื้อเยื่อบริเวณที่ผ่าตัดเกิดพังผืดอาจส่งผลให้ท่อน้ำเหลืองเกิดพังผืด ทำให้ทางเดินน้ำเหลืองอุดตันส่งผลให้แขนบวมได้ การฉายรังสีรักษาบริเวณรักแร้หรือเต้านม อาจทำให้เกิดพังผืดต่อมน้ำเหลืองและท่อน้ำเหลืองหลังผ่าตัด ส่งผลให้ทางเดินน้ำเหลืองที่แขนอุดตัน แขนจึงบวมได้เช่นกัน ถ้าผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองรักแร้และฉายรังสีด้วย โอกาสแขนบวมจะยิ่งมากขึ้น แขนติดเชื้อ จากการรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยการผ่าตัดและรังสีรักษา อาจทำให้เกิดการคั่งของน้ำเหลือง ส่งผลให้แขนติดเชื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อติดเชื้อและรักษาหายพังผืดในเนื้อเยื่อแขนจะเพิ่มขึ้น ทางเดินน้ำเหลืองจะอุดตันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แขนบวมมากขึ้น เมื่อติดเชื้อง่ายขึ้น ก็จะเป็น ๆ หาย ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ โรคมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ ทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายมาต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้หรือเหนือไหปลาร้า ทำให้อุดตันทางเดินน้ำเหลืองของแขน ส่งผลให้แขนบวมได้เช่นกัน อาการบอกโรค อาการภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema After Breast Cancer Treatment) ได้แก่ แขนบวม ปวด ชา อ่อนแรง แขนติด เคลื่อนไหวไม่เป็นปกติ ผิวหนังหนา ไม่เรียบ ใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับแล้วรู้สึกคับ การตรวจวินิจฉัย การตรวจวินิจฉัยภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema After Breast Cancer Treatment) ส่วนใหญ่แพทย์เฉพาะทางจะประเมินหลังจากผ่าตัดมะเร็งเต้านมประมาณ 6 เดือน เพราะผู้ป่วยส่วนมากมักมีอาการในช่วงนี้ ซึ่งจะประเมินจากภาพถ่าย การวัดเส้นรอบวงแขนเหนือศอก การวัดปริมาตรแขน (Perometer) รวมถึงการตรวจอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น Lymphangiogram, Ultrasound, ICG lymphography, Lymphoscintigraphy, MRI, CT Scan เป็นต้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ วิธีการรักษา การรักษาภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema and Breast Cancer )ได้แก่ ลดการบวม ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันและไม่ให้อาการเป็นมากขึ้น อาทิ ระวังอย่าให้แผลที่แขนติดเชื้อ ถ้าแผลเล็กต้องเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้งก่อนทายา ถ้าแผลใหญ่หรือแผลลึกต้องรีบพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ไม่ให้เป็นแผลหรือติดเชื้อง่าย อย่าให้มือและแขนบาดเจ็บ ไม่เจาะเลือด ฉีดยา ฉีดวัคซีนแขนด้านที่ผ่าตัด ใส่ถุงมือยางเมื่อทำงานบ้าน ไม่ควรบีบรัดแขนแน่น ไม่ใส่เสื้อคับหรือเครื่องประดับที่รัดแขนข้างที่ผ่าตัด ป้องกันการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ไม่ยกของหนัก ไม่ออกกำลังที่ต้องใช้กำลังแขนหรือใช้แขนตลอดเวลา ระวังการอาบน้ำร้อนเกินไปหรืออบตัวด้วยความร้อนมากเกินไป เพราะอาจทำให้น้ำเหลืองคั่งมากขึ้น หากนั่งนิ่งเป็นเวลานานควรยกแขนสูงกว่าระดับหัวใจ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน เพราะเป็นต้นเหตุให้แขนบวม ใส่ปลอกแขนรัดไล่น้ำเหลือง นวดแขนไล่น้ำเหลือง ใช้เลเซอร์กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและน้ำเหลือง หมั่นสังเกตแขนด้านที่ผ่าตัด หากบวมหรือผิดปกติต้องรีบพบแพทย์ทันที การผ่าตัด เพื่อรักษาภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม ทำได้โดย ผ่าตัดเชื่อมท่อน้ำเหลืองกับเส้นเลือดดำ เพื่อให้น้ำเหลืองสามารถกลับได้ทางเส้นเลือดดำแทน ผ่าตัดปลูกถ่ายต่อมน้ำเหลือง เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างทางเดินน้ำเหลืองขึ้นมาใหม่ ผ่าตัดเนื้อส่วนเกินหรือดูดไขมัน ในคนไข้ที่มีภาวะแขนบวมจนทำให้เกิดการสะสมของไขมันใต้ชั้นผิวหนังเพิ่มเติม ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านมสามารถเกิดได้สิ่งสำคัญคือการป้องกันไม่ให้แขนบวมโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะแขนบวมได้และหากคนไข้มีอาการที่สงสัยว่าเกิดภาวะแขนบวมควรมาตรวจพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและเริ่มการรักษาตั้งแต่มีอาการน้อยเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดนอกจากนั้นคนไข้ควรป้องกันไม่ให้แขนบวมมากขึ้นและไม่ให้เกิดการติดเชื้อของแขนหากแขนบวมแดงร้อนปวดและมีไข้ต้องรีบพบแพทย์ ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ โดย ผศ.พญ.ศศิธร สุจริตธนะการ

มะเร็งตับ (Liver cancer)

มะเร็งตับ (Liver cancer)

มะเร็งตับ (Liver cancer) มะเร็งตับ นับเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในประเทศไทย เกิดได้จากหลายสาเหตุ มักแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว ทำให้การควบคุมโรคเป็นไปได้ยาก และมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง สาเหตุของมะเร็งตับ มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โรคไขมันพอกตับในผู้ที่เป็นโรคอ้วน โรคตับคั่งน้ำดี โรคตับอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง อาการมะเร็งตับ ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่มีอาการ ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเลือกโปรแกรมที่ตรวจความผิดปกติของตับอย่างครอบคลุมจึงมีความสำคัญมาก เพราะอาการของโรคมะเร็งตับมักแสดงในระยะที่ลุกลามแล้ว และอาการของมะเร็งตับที่พบบ่อย มีดังนี้ ปวดจุกบริเวณชายโครงขวาหรือช่องท้องส่วนบน เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด มีภาวะท้องมาน ขาบวม ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ตาเหลือง ตัวเหลือง การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ การซักประวัติตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบ และสารบ่งชี้มะเร็งตับ (alpha-fetoprotein) การตรวจทางรังสีที่ตับและช่องท้อง เช่น การอัลตราซาวด์(Ultrasound) การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การเจาะตับเพื่อตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งตับ มะเร็งตับลุกลามไปยังอวัยวะต่างๆในร่ากาย ตับวาย ทำให้ตับเสียหน้าทีการทำงาน อาจถึงขั้นเสียขีวิตได้ การรักษาโรคมะเร็งตับ การวางแผนเลือกวิธีการรักษาในผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะแตกต่างกันออกไปตามการพิจารณาของแพทย์ โดยวิธี การรักษาหลักๆมีดังนี้ การผ่าตัด รังสีรักษา การให้เคมีบำบัด การปลูกถ่ายตับ การป้องกันโรคมะเร็งตับ ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีควันบุหรี่ ป้องกันตัวเองด้วยการสวมอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้งที่ต้องสัมผัสเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี และซี ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก พักผ่อนอย่างเพียงพอ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

อาหารหมักดองตัวการร้าย สร้างมะเร็งหลังโพรงจมูก

อาหารหมักดองตัวการร้าย สร้างมะเร็งหลังโพรงจมูก

อาหารหมักดองตัวการร้าย สร้างมะเร็งหลังโพรงจมูก ของหมัก ของดอง เมื่อได้กินแล้วชื่นใจ แต่รู้หรือไม่สิ่งเหล่านี้คือตัวกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก เชื่อหรือไม่ว่าโรคนี้สามารถพบได้ตั้งแต่ช่วงคนที่อายุน้อยและกลุ่มวัยรุ่นและพบได้บ่อยในชาวเอเชีย รู้จักมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งหลังโพรงจมูก คือ มะเร็งที่เกิดในบริเวณด้านหลังโพรงจมูก มะเร็งชนิดนี้พบบ่อยในแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทย จีน เกาหลี เป็นต้น แต่พบไม่บ่อยในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งมะเร็งหลังโพรงจมูกที่เกิดในแถบเอเชียนี้มักจะพบได้ในกลุ่มคนที่อายุน้อย กลุ่มวัยรุ่น และพบได้ในเพศชาย ส่วนแถบยุโรปและอเมริกานั้นมักจะพบในคนอายุมาก ในชาวเอเชียพบมะเร็งหลังโพรงจมูกค่อนข้างเยอะ ตัวการมะเร็งหลังโพรงจมูก มีการติดเชื้อไวรัส EBV (Ebstein Barr Virus) และเชื่อกันว่ามีปัจจัยอื่น ๆ หรือพฤติกรรมด้านอาหาร ร่วมด้วย เช่น อาหารหมักเกลือ อาหารหมักดอง สมุนไพรจีนบางชนิด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้ไวรัสชนิดนี้ทำงานจนมีการอักเสบเรื้อรัง (Viral Reactivation) แต่ในแถบโซนยุโรปและอเมริกานั้นส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นก็พบได้เช่นกันคือ มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็ง อาการมะเร็งหลังโพรงจมูก มีเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ หูอื้อข้างเดียว ติดเชื้อในหูชั้นกลางซ้ำ ๆ มีก้อนบริเวณคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ตาพร่า ใบหน้าชา หากเป็นมากอาจมีอาการมะเร็งกระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ปวดหลัง ไอ ทานไม่ได้ น้ำหนักลด ควรที่จะมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป รักษามะเร็งหลังโพรงจมูก รักษาโดยใช้การฉายแสง (Radiation) ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) การดำเนินโรคของมะเร็งหลังโพรงจมูก หากเป็นระยะแรกจะค่อนข้างดี โอกาสหายขาดสูงมาก เช่น ในระยะที่ 1 และ 2 หากรักษาถูกต้องตามขั้นตอน โอกาสหายสูงถึง 80 – 90% หากเป็นระยะที่ 3 หรือ 4 โอกาสหายลดลงเหลือ 50 – 60% มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal Cancer) พบได้บ่อยในชาวเอเชีย ปัจจัยเสี่ยงคือการติดเชื้อ EBV ที่ทำให้มีการอักเสบเรื้อรัง มะเร็งนี้มักพบในเพศชาย อายุน้อย หากเจอในระยะแรก รักษาถูกต้อง โอกาสหายจะค่อนข้างสูงมาก ดังนั้นหากมีอาการที่สงสัยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจทันที ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ บทความโดย พญ.พจนา จิตตวัฒนรัตน์