เกาต์เทียม กับ เกาต์ แตกต่างกันอย่างไร

“โรคเกาต์เทียม” คือการอักเสบเฉียบพลันเป็นพักๆ อาจไม่คุ้นหูมากนักแต่เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยรองจากโรคเกาต์ เช็กอาการและจุดโรคกำเริบของเกาต์เทียมที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง

โรคเกาต์เทียม (Pseudogout) เป็นโรคข้ออักเสบอีกหนึ่งชนิดที่พบบ่อยรองจากโรคเกาต์ ถึงชื่อและอาการจะคล้ายกันแต่คนละชนิดกัน ซึ่งเกาต์เทียม เกิดจากการคั่งและสะสมของผลึกเกลือชนิดที่เรียกว่าแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต (calcium pyrophosphate dihydrateหรือ CPPD) ที่สามารถทำให้ข้อเกิดการอักเสบเฉียบพลันเป็นพักๆ

เกาต์กับเกาต์เทียมแตกต่างกันอย่างไร

  • เกาต์ เกิดจากร่างกายมีการคั่งและสะสมของผลึกยูเรตหรือกรดยูริกข้อที่พบการอักเสบได้บ่อยคือ ข้อโคนหัวแม่เท้า ข้อโคนนิ้วเท้า ข้อเท้าเอ็นร้อยหวาย ข้อเข่า เป็นต้น
  • เกาต์เทียม สะสมแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตข้อที่พบการอักเสบได้บ่อย คือ ข้อเข่า ข้อมือ ข้อไหล่ข้อศอก ข้อเท้า และข้อนิ้วมือ เป็นต้นการอักเสบที่รุนแรงของโรคเก๊าต์เทียมมักเกิดที่ข้อเข่าทำให้เจ็บปวดจนอาจถึงขั้นเดินไม่ได้หลายวันหรือหลายสัปดาห์เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคเกาต์เทียมได้เท่าๆ กันโดยความเสี่ยงของการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตพบได้ร้อยละ 3 ในคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไปยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งพบผลึกนี้มากขึ้น และพบได้ถึงประมาณร้อยละ 50 ของคนที่อายุตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไปแต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีผลึกนี้สะสมอยู่ในข้อ จะเกิดอาการข้ออักเสบ

สาเหตุของโรคเกาต์เทียม

  • การสะสมผลึกเกลือซีพีพีดี เนื่องจากมีไพโรฟอสเฟตอนินทรีย์เพิ่มมากขึ้นในกระดูกอ่อนผิวข้อ โดยสารไพโรฟอสเฟตอนินทรีย์ถูกสร้างเพิ่มขึ้นจากกระดูกอ่อนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการตกผลึกเกลือซีพีพีดี
  • พันธุกรรม รวมทั้งผู้ที่มีความผิดปกติทางระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึ่มบางอย่าง เช่นเป็นโรคไทรอยด์ต่ำ โรคฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง โรคที่มีธาตุเหล็กคั่งในตัวมากและสภาวะโรคต่างๆ ที่ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเก๊าท์เทียมได้
  • การเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันอาจเกิดหลังจากการผ่าตัดข้อ การผ่าตัดอย่างอื่น ตลอดจนการบาดเจ็บที่ข้อหรือมีการเจ็บป่วยทางร่างกายอย่างอื่นในผู้สูงอายุสภาวะเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดข้ออักเสบเฉียบพลันในผู้ป่วยที่มีผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตสะสมไว้ในข้อ

อาการโรคเกาต์เทียมเลียนแบบโรคอื่น

  • Type A อาการข้ออักเสบเฉียบพลันแบบเป็นๆ หายๆ เลียนแบบโรคเกาต์
  • Type B อาการของข้ออักเสบเรื้อรัง เลียนแบบโรครูมาตอยด์
  • Type C and D อาการปวดข้อเรื้อรังแบบโรคข้อเสื่อมเทียม
  • Type E ไม่มีอาการ แต่สามารถตรวจพบผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต
  • Type F มีอาการโรคข้อจากพยาธิประสาทเทียม

การคั่งและสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต โดยทั่วไปจะเกาะอยู่ที่กระดูกอ่อนในข้อ บางครั้งจะกระจายไปอยู่ที่เยื่อบุข้อผลึกนี้ทำให้ข้อเสื่อมสภาพเร็วขึ้นบางครั้งผลึกนี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาจนเกิดการอักเสบในข้อโดยผลึกจะแตกตัวออกไปและเม็ดโลหิตขาวจะเข้ามากินผลึกนี้โดยนึกว่าเป็นเชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลันการอักเสบแต่ละครั้งจะทำให้เกิดการทำลายกระดูกอ่อนภายในข้อ

วิธีรักษาโรคเกาต์เทียม

ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถละลายผลึกของโรคเก๊าท์เทียมออกจากกระดูกอ่อนในข้อได้ ดังนั้นการรักษาโรคนี้ส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การรักษาอาการอักเสบของข้อการป้องกันการเป็นซ้ำ และการตรวจหาโรคที่อาจพบร่วมกับโรคเกาต์เทียมแล้วให้การรักษาควบคู่กันไป

  • การรักษาโรคเก๊าต์เทียมขณะที่มีข้ออักเสบเฉียบพลัน โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAIDs)
  • ในผู้ป่วยที่สมรรถนะของไตไม่ดี หรือมีประวัติเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือกำลังกินยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ก็ไม่ควรใช้ยา NSAIDs แพทย์จะใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อจะปลอดภัยกว่าในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยารับประทานก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาฉีดเข้าข้อเช่นกัน แต่ไม่ควรกระทำบ่อย
  • สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำไขข้อมาก การดูดเอาน้ำไขข้อออกจะช่วยลดการอักเสบของข้อได้ ผู้ป่วยบางรายมีข้อบวมมากเช่น ข้อเข่า ซึ่งอาจมีไข้และมีอาการซึมต้องเจาะและดูดน้ำไขข้อที่มีผลึกของโรคเกาต์เทียมออกไปให้มากที่สุดแล้วฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคข้อรูมาตอยด์

โรคข้อรูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร ? โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญงอกงามของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่น ๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น ข้ออักเสบเรื้อรังส่วนใหญ่เป็นโรครูมาตอยด์ใช่หรือไม่ ? ถึงแม้โรครูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด แต่จะมีกลุ่มโรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่น ๆ อีกมากที่เลียนแบบโรครูมาตอยด์ได้ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจจากแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เนื่องจากการรักษาจะแตกต่างกันออกไป สาเหตุของโรครูมาตอยด์คืออะไร ? สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่าโรคนี้มีส่วนเกี่ยวกับการติดเชื้อบางอย่าง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ผู้ใดบ้างที่เป็นโรครูมาตอยด์ได้ ? โรครูมาตอยด์สามารถเป็นได้กับทุกกลุ่มอายุตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยวัยกลางคน และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เมื่อเป็นโรครูมาตอยด์จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ? เมื่อเป็นโรครูมาตอยด์ เยื่อบุข้อจะมีการเจริญงอกงามและมีการหนาตัว จากนั้นจะลุกลามทำลายกระดูกและข้อในที่สุด ในระยะแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ มีอาการฝืดขัดข้อเป็นเวลานานในตอนเช้า เมื่อมีอาการชัดเจนข้อจะมีการบวม ร้อน และปวด โรคนี้สามารถเป็นได้กับทุกข้อของร่างกาย แต่ที่พบไดบ่อยคือข้อของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า อาการของข้ออักเสบจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงแบบเฉียบพลันได้ บางรายอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วยได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการทางระบบตา ปอด และมีปุ่มขึ้นตามตัวได้ การวินิจฉัย ในรายที่เป็นมานานและมีข้ออักเสบชัดเจนการวินิจฉัยจะทำได้ไม่ยาก แต่ในรายที่เป็นในระยะแรกการวินิจฉัยอาจยุ่งยาก แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและวินิจฉัยแยกโรคที่คล้ายโรครูมาตอยด์ออกไป การตรวจหาสารรูมาตอยด์ในเลือดจะช่วยการวินิจฉัยหรือไม่ ? สารรูมาตอยด์สามารถตรวจพบได้ในเลือดของผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ประมาณร้อยละ 70-80 แต่สารนี้สามารถตรวจพบได้ในโรคข้ออักเสบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรครูมาตอยด์ ตรวจพบได้ในโรคติดเชื้อบางอย่าง หรือตรวจพบได้ในคนปกติ ดังนั้นการตรวจพบสารนี้จะไม่ได้บอกว่าผู้ป่วยเป็นโรครูมาตอยด์ แต่จะใช้ในการสนับสนุนการวินิจฉัยโรค อนึ่ง ในระยะแรก ๆ ของโรครูมาตอยด์การตรวจหาสารนี้อาจให้ผลลบได้ การรักษา 1. การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ได้แก่ยาแอสไพรินและยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ผู้ป่วยแต่ละรายจะตอบสนองต่อยาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงทางด้านระบบทางเดินอาหารและระบบไตได้ ในรายที่เป็นรุนแรง มีอาการมากและข้อถูกทำลายมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่ายาระดับที่ 2 ซึ่งได้แก่ ยาต้านมาลาเรีย ยาทองคำ ยาเมทโธเทรกเซท ยาซัลฟาซาลาซีน เป็นต้น ยาเหล่านี้ไม่มีฤทธิ์ในการระงับการเจ็บปวด แต่จะช่วยระงับการลุกลามของโรคได้ แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจึงควรใช้ในรายที่มีอาการรุนแรงและใช้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อนึ่ง ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นยาที่มีผู้นำเอามาใช้ในการรักษาโรครูมาตอยด์เป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากยานี้มีคุณสมบัติในการระงับการอักเสบของข้อได้ แต่จากการศึกษาในระยะหลัง ๆ พบว่ายาชนิดนี้ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงการดำเนินของโรคเลย แต่เมื่อใช้ยานี้ไปนาน ๆ ผู้ป่วยจะติดยาและไม่สามารถเลิกยาได้ พร้อมทั้งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาชนิดนี้มากมาย เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อกระจก กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระดูกผุ เป็นต้น จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งในการนำยานี้มาใช้รักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ ยกเว้นในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถรักษาด้วยยาชนิดอื่นแล้ว และควรดูแลควบคุมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น 2. การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย มีส่วนสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ การพักผ่อนจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลีย แต่การพักที่นานเกินไปจะทำให้ข้อฝืดขัด ดังนั้นการพักผ่อนจะต้องสมดุลย์กับการบริหารร่างกาย การบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ติดขัด และช่วยให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้ (ศึกษาเพิ่มเติมจากเอกสารชุดการบริหารร่างกาย) 3. การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยควรเรียนรู้ และหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่อาจส่งเสริมให้ข้อถูกทำลายเร็วขึ้น เช่น การนั่งพับเข่าในกรณีที่มีข้อเข่าอักเสบ หรือการบิดข้อมือในกรณีที่มีข้อมืออักเสบ การรู้จักใช้กายอุปกรณ์บางอย่าง เช่น ไม้เท้า เครื่องช่วยเดิน จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวคล่องขึ้นและหลีกเลี่ยงแรงที่กระทำต่อข้อได้ 4. การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว หรือกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เอ็นขาด เป็นต้น การผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อจะช่วยให้ข้อทำงานได้ดีขึ้น ขอบคุณข้อมูลจาก : สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย

หญิงวัยทอง เสี่ยงเกาต์

หญิงวัยทอง เสี่ยงเกาต์

ถึงแม้สถิติจะบ่งบอกว่าผู้ชายมีความเสี่ยงโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง 10 เท่า แต่คุณผู้หญิงเองก็ต้องใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะ "วัยทอง" ไม่แพ้ผู้ชายเนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ขับกรดยูริกลดลง โรคเกาต์ หนึ่งในโรคกระดูก และข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการกินโปรตีนบางชนิดมากเกินไป ซึ่งโปรตีนดังกล่าวจะย่อยสลายเป็นกรดยูริคไปตกตะกอนในข้อ ทำให้ข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้ออักเสบเฉียบพลันการเกิดโรคเกาต์ผู้ป่วยมักมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานพอสมควรโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าระดับกรดยูริกยิ่งสูง อุบัติการณ์การเกิดโรคจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เกิดอาการได้เร็วยิ่งขึ้น ในเพศชายพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าเพศหญิงประมาณ 10 เท่า แต่วัยหลังหมดประจำเดือน เพศหญิงจะพบโรคสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเพศชาย การอักเสบ ของข้อครั้งแรกมักพบในเพศชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 40-60 ปี แต่ในเพศหญิงมักพบหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว เพราะในวัยเจริญพันธุ์ผู้หญิงแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าจนกว่าจะหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนซึ่งมีฤทธิ์ในการเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจากค่อยๆ สูงขึ้น ใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี จนมีค่าใกล้เคียงกับระดับกรดยูริกในเลือดของผู้ชาย โรคที่พบร่วมกับโรคเกาต์ที่ผู้สูงอายุต้องระวัง โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ พบว่าสูงร้อยละ 80 ของคนไข้โรคเกาต์ทั้งหมด ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว โรคไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเลือดบางชนิด เช่นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัดจะทำให้เซลล์ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงมากๆ ก่อให้เกิดโรคเกาต์ ข้ออักเสบ นิ่วที่ไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริกเองไปอุดตันตามท่อเล็กๆ ในเนื้อไต ทำให้เกิดไตวายได้ อย่างไรก็ตามข้ออักเสบในระยะแรกมักเป็นเพียง 1-2 ข้อ จะมีการอักเสบรุนแรงเป็นเฉียบพลัน จากระยะเริ่มปวดจนอักเสบเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนมากจะเกิดขึ้นทีละ 1 ข้อ ข้อที่พบบ่อย ได้แก่ โคนนิ้วโป้งเท้า ข้อเท้า ข้อกลางเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อกลางมือ ข้อมือ ข้อศอก ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง จำนวนข้อที่อักเสบจะเพิ่มขึ้น เริ่มพบที่ข้อมือ ข้อนิ้วมือ และข้อศอก การอักเสบรุนแรงขึ้น เป็นถี่ขึ้นและนานขึ้น จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

กินไก่เยอะ เสี่ยงเกาต์จริงหรือไม่?

กินไก่เยอะ เสี่ยงเกาต์จริงหรือไม่?

รู้หรือไม่? ไก่-เป็ดไม่ใช่ตัวการของโรคเกาต์ทั้งหมดแต่เป็นการสะสมของกรมยูริกที่มากเกินไปจนร่างกายขับออกไม่ทัน และสิ่งที่ต้องกังวลมากกว่าคือน้ำอัดลม-น้ำผลไม้กล่อง ที่มีงานวิจัยพบว่าดื่มเกินวัน 1 แก้วเสี่ยงโรคเกาต์มากกว่ากินไก่ รวมทั้งแอลกอฮอล์ที่กระตุ้นให้อาการกำเริบรุนแรง เกาต์เกิดจากการสะสมของกรดยูริก (uric acid) ในเลือด ที่ตกตะกอนกลายเป็นผลึกรูปเข็มอยู่ตามข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อนอย่างเฉียบพลัน โดยอาการเหล่านี้มักเกิดหลังการไปสังสรรค์กับเพื่อน ที่มีการทานเนื้อสัตว์และดื่มแอลกอฮอล์ พอตกกลางคืน ก็สังเกตได้ว่าหัวแม่เท้าบวมแดงเจ็บ เมื่อไปพบแพทย์ ตรวจวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดก็พบว่าเป็นเกาต์ และหลังทานยาอาการก็ดีขึ้น ตำแหน่งที่พบโรคเกาต์บ่อยที่สุด ยูริกในเลือดสูงกว่า 6.8 มก./ดล. จะบ่งบอกถึงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์ ความดันสูง เส้นเลือดเสื่อมสภาพ นิ่วในไต และไตวายได้ และหากพูดถึงความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบตามข้อตำแหน่งที่พบบ่อยคือ “ข้อนิ้วหัวแม่เท้า”แต่ในคนที่เป็นเกาต์เรื้อรังอาจพบอาการอักเสบได้หลายข้อพร้อมๆ กัน บางคนอาจมีก้อนของกรดยูริกสะสมอยู่ตามข้อเหล่านี้ จนปูดขึ้นเป็นปุ่มโปน และอาจแตกออกมากลายเป็นแผลเรื้อรังได้อีก เป็นเกาต์กินไก่ได้ไหม ? คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโรคเกาต์เกิดจากการทานเป็ดไก่ หรือแม้แต่การทานยอดผัก ซึ่งความจริงแล้วอาหารที่เราทานเข้าไปเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยที่อาจไปช่วยกระตุ้นให้เกิดโรคได้ "แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด" เพราะอาหารพวกเป็ดหรือไก่ ทำให้ระดับกรดยูริกสูงขึ้นได้ไม่เกิน 1 มก./ดล. จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแม้ว่าจะหยุดทานเป็ดไก่แล้ว อาการเกาต์ก็ยังไม่หายขาดซะทีอย่างไรก็ไม่ควรกินเยอะจนเกินไปเพราะหากคุณเป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกาต์อยู่แล้วการกินเป็ดไก่เข้าไปอีกก็อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการได้เช่นกัน ขณะที่ “ยอดผัก” นั้นก็ไม่ได้ทำให้ระดับของกรดยูริกพุ่งขึ้นสูงแต่อย่างใด นั่นจึงไม่ใช่สาเหตุสำคัญของโรคเกาต์นั่นเอง นอกจากเป็ดไก่แล้ว อาหารที่มีพิวรีนสูงที่ควรกินแต่พอดีก็จะมีจำพวก ห่าน เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา ปลาซาร์ดีน กะปิ กุ้งชีแฮ้ ซุปก้อน น้ำซุปกระดูก ยีสต์ เห็ด กระถิน ชะอม พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ เป็นต้น นอกจากอาหารพิวรีนสูงที่ควรตระหนัก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะกรดยูริกในเลือดสูงและโรคเกาต์ หลังดื่มจึงมีโอกาสที่จะมีอาการปวดบวมที่หัวแม่เท้าอย่างรุนแรงได้ นอกจากแอลกอฮอล์แล้วควรคำนึกถึงน้ำตาลฟรุคโตส ที่ซ่อนอยู่ในอาหารต่างๆ ก็สามารถทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูง และตามมาด้วยการเป็นโรคเกาต์ได้เช่นกัน และแหล่งของน้ำตาลฟรุคโตสที่น่ากังวลคือมาจากน้ำผลไม้กล่องและน้ำอัดลม สำหรับคนที่เคยไปรับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพ และได้รับการบอกว่ามีกรดยูริกในเลือดสูง โปรดอย่าได้นิ่งนอนใจว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ควรเริ่มคุมอาหาร ลดแป้ง ออกกำลังกาย ลดน้ำหนักตัว งดดื่มแอลกอฮอล์ (หรือเลือกทานไวน์แทนเบียร์) และอย่าลืมว่า น้ำอัดลมและน้ำผลไม้กล่อง ทำให้กรดยูริกสูงได้ขอย้ำว่า ยูริกสูง และโรคเกาต์ไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะเข้าใจว่าเป็นแค่โรคข้อ… รอให้เกิดแล้วทานยาเป็นพักๆ อาจจะลงเอยด้วยภาวะไตวาย หรือเส้นเลือดเสื่อมสภาพได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

กรดยูริก กับ โรคเกาต์

กรดยูริก กับ โรคเกาต์

“กรดยูริก” สะสมในเลือดสูงกระตุ้นโรคเกาต์ พบได้ที่ไหนบ้าง? รู้จัก กรดยูริก (Uric Acid) ตัวการร้ายที่หากสะสมในร่างกายมาก จะทำใก้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เสี่ยงโรคเกาต์ ภาวะไตวาย โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เผยกระบวนการทางเคมี วิธีรักษา และแหล่งกรดยูริกที่ควรกินแต่พอดี กรดยูริก (Uric Acid) สารที่เกิดจากกระบวนการทางเคมีในร่างกายในขณะที่มีการสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก ถั่วต่างๆ หรือการดื่มเครื่องดื่ม เช่น เบียร์ น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลฟรุคโตส ฉะนั้นควรกินแต่พอดีหรือหลีกเลี่ยงในคนที่มีความเสี่ยงเพราะหากร่างกายมีกรดยูริกมากเกินกว่าความสามารถของไตจะขับออกได้ หรือไตมีความเสื่อมจนความสามารถในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายลงลง เช่น ในผู้ป่วยไตเสื่อมหรือไตวาย ก็จะทำให้มีการสะสมของกรดยูริกมากขึ้นอีก ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย โดยทางการแพทย์จะกำหนดว่าเมื่อกรดยูริกในเลือดสูงเกินขีดจำกัดของความสามารถในการละลายของกรดยูริก (Monosodium urate) คือ 6.8 มก./ดล. ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ถือว่ามีภาวะกรดยูริกสูง ระดับกรดยูริกในเลือดที่เกิน 7 มก./ดล. จะเริ่มมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้ออักเสบจากผลึกเกลือยูเรตหรือโรคเกาต์ และเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วที่ไต ดังนั้นโดยทั่วๆ ไป เราจึงใช้ระดับกรดยูริก มากกว่า 7 มก./ดล. ในการบอกว่าเป็นภาวะกรดยูริกในเลือดสูงค่าการทำงานของไต (ระดับครีเอตินิน) น้ำหนัก อายุ เพศ ความดันโลหิตและการดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้ ปัจจุบันยังพบว่า การมีกรดยูริกสะสมในร่างกายปริมาณมากเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะไตเสื่อม เกิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมอง เพิ่มความเสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้มากขึ้น โดยข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยชายที่เป็นโรคไตวายจนต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกไต ส่วนหนึ่งเกิดจากการเป็นโรคเก๊าท์หรือมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงมาก่อน ในขณะที่ผู้ป่วยหญิงที่ฟอกไตส่วนมากเกิดจากการเป็นโรคเบาหวาน การรักษาโดยการไม่ใช้ยา ออกกำลังกายและลดน้ำหนัก สามารถทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลง และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ด้วย จำกัดการรับประทานเนื้อแดงหรืออาหารทะเล การรับประทานเนื้อแดงปริมาณมาก จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ แต่การรับประทาน พืช ฝัก ถั่ว หรือผักที่มีสารพิวรีนสูง ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ ลดหรืองดการดื่มสุรา โดยเฉพาะเบียร์หรือสุราที่ผ่านการกลั่น จำกัดการทานน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล รักษาภาวะหรือโรคอื่นที่พบร่วม เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือภาวะไขมันในเลือดสูง การรักษาโดยการใช้ยา จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับวินิจฉัยและการใช้ยาที่ถูกต้องและหมาะสมการตรวจสุขภาพประจำปี จะทำให้เราตรวจพบความผิดปกติ ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัย พร้อมให้คำแนะนำและให้การรักษาได้ถูกต้องและทันท่วงที อย่างไรก็ดีหากพบความผิดปกติของกรดยูริก การลดระดับกรดยูริกในเลือดโดยการปรับพฤติกรรม เป็นวิธีที่ดีที่สุด สามารถทำได้เลย ไม่มีอันตราย หรือผลข้างเคียง และช่วยให้สุขภาพของคุณกลับมาดีขึ้นได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

กินถูกหลัก ช่วยรักษาเกาต์

กินถูกหลัก ช่วยรักษาเกาต์

กรมการแพทย์ แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มสามารถช่วยลดอาการข้ออักเสบที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ เกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง มีผลมาจากการที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการตกผลึกของเกลือยูเรตบริเวณข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยผลึกดังกล่าวมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทำให้เกิดกระบวนการอักเสบตามมา โดยส่วนมากโรคเกาต์มักจะพบได้มากในเพศชายอายุ 30 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงจะพบมากในช่วงวัยหลังหมดประจำเดือน อาการของโรคเกาต์ ข้ออักเสบ มักจะมีอาการแบบเฉียบพลันเริ่มแรกมักเป็นข้อเดียว โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดที่โคนข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า อาการปวด บวมแดง ร้อน เจ็บเมื่อกด และอาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายพบก้อนโทฟัส ซึ่งเกิดจากการสะสมของผลึกเกลือยูเรตในเนื้อเยื่ออ่อน ข้อต่อ กระดูก และกระดูกอ่อน มักพบบริเวณศอก ตาตุ่ม นิ้วมือ นิ้วเท้า ส่วนนิ่วในทางเดินปัสสาวะ พบประมาณร้อยละ 10-25 ของผู้ป่วยโรคเกาต์ แนวทางการรักษาโรคเกาต์โดยวิธีไม่ใช้ยา แนวทางการรักษาโรคเกาต์ควรใช้การรักษาโดยวิธีไม่ใช้ยาและใช้ยาร่วมกัน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มร่วมกับการดูแลโรคร่วมและปัจจัยเสี่ยงของโรคเกาต์ ขณะมีอาการข้ออักเสบกำเริบควรเลือกรับประทานโปรตีนจาก ไข่ เต้าหู้ นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำ ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมถึงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์, ไข่ปลา ลดการรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด น้ำผลไม้และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุ๊กโตส เช่น ชาเขียวพร้อมดื่ม งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และควรดื่มน้ำ อย่างน้อย 8 แก้ว ต่อวัน นอกจากนี้หากท่านรับประทานอาหารชนิดใดแล้วมีอาการข้ออักเสบให้หลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นๆ เพื่อป้องกันข้ออักเสบ ที่สำคัญควรพบแพทย์ตามนัดอยู่เสมอเพื่อเช็กอัพร่างกาย หากมีอาการปวดหรือมีก้อนขึ้นลุกลามควรรีบพบแพทย์ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

การรักษาโรคเกาต์

การรักษาโรคเกาต์

ปัจจุบันโรคเกาต์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถบรรเทาอาการเป็นๆหายๆ เรื้อรังได้ ทั้งการปรับพฤติกรรมและการใช้ยาควบคู่กันไปภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ระยะต้นของโรคเกาต์ ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื้องต้น ได้แก่ ปวด 1-2 ข้อ มีอาการปวดเป็นๆ หายๆ และลุกลามไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น ไตวาย โรคไต และนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ โรคเกาต์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะเฉียบพลัน มักมีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลันทันที มักพบอาการปวดตอนกลางคืน และบริเวณเกิดอาการปวดได้บ่อย ได้แก่ หัวแม่เท้าและที่ข้อเท้า สามารถหายไปเองได้ แต่จะกลับมาปวดซ้ำๆ อีกเรื่อยๆ และมีอาการปวดแบบเป็นๆ หายๆ ระยะช่วงพัก สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ โดยที่เมื่อมีอาการปวดข้อระยะเวลาที่ปวดจะสั้นลง แต่ความถี่ของอาการปวดมากจะมากกว่าระยะเฉียบพลัน และจะปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ระยะเรื้อรัง คือกลุ่มผู้ป่วยที่ป่วยมานานกว่า 10 ปีขึ้นไป จะมีอาการข้ออักเสบหลายข้อ และปวดตลอดเวลา ไม่มีช่วงเว้นว่างหายสนิท และในระยะนี้มักมีปุ่มก้อนขึ้นตามข้อต่างๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบ โดยปุ่มเหล่านี้เกิดจากก้อนผลึกยูเรทที่มีการสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเรื้อรังหากผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี จะสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้อาการของโรครุนแรงมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม โรคเกาต์ไม่สามารถหายเองได้ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เพราะฉะนั้นหากมีอาการปวดตามข้อต่อต่างๆ ตามร่างกายอย่างกะทันหันหรือรุนแรง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป การรักษาในระยะที่มีการอักเสบเฉียบพลัน สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ที่อาการอยู่ในระยะข้ออักเสบเฉียบพลัน แพทย์ส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบีบนวดข้อ การประคบ และควรพักการใช้ข้อ โดยวิธีรักษาโรคเกาต์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการใช้ยารักษาอาการและบรรเทาอาการเจ็บปวด ยารักษาโรคเกาต์ ให้หายขาดที่นิยมใช้เพื่อลดอาการอักเสบ ได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine) และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) โดยแนะนำให้รับประทานยาโคลชิซิน 1 เม็ด (0.6 มิลลิกรัม) ทุก 4 - 6 ชั่วโมงในวันแรก และลดเหลือวันละ 2 เม็ดในวันถัดมา ส่วนใหญ่แพทย์มักจะให้ทานยาโคลชิซินประมาณ 3 - 7 วัน หรือจนกว่าอาการอักเสบจะหายดี ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปริมาณในการรับประทานยาแต่ละครั้งเนื่องจากผู้ป่วยบางท่านอาจจะมีปัญหาเรื่องการทำงานของไต หรือผู้ป่วยสูงใหญ่จำเป็นต้องลดปริมาณยาลดเพื่อความปลอดภัยและเพื่อบรรเทาอาการอักเสบควรเลือกใช้ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ที่มีค่าครึ่งชีวิตสั้น และออกฤทธิ์เร็ว โดยแนะนำให้ทาน 3-7 วัน หรือจนกว่าอาการจะหายดี อย่างไรก็ตามยาโคลชิซิน หรือยาต้านการอักเสบ ก็จะมีผลข้างเคียง ได้แก่ ยาโคลชิซินสามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร การทำงานของไตบกพร่อง หรือโรคตับทานยา การรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบซ้ำในระยะยาว การรักษาโรคส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาเพื่อลดระดับของกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลงมา โดยการรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบซ้ำในระยะยาวผู้ป่วยโรคเกาต์จำเป็นต้องรับประทานยาโคลชิซินขนาด 0.6 - 1.2 มิลลิกรัมต่อวัน (ตามดุลพินิจของแพทย์) ซึ่งต้องทานจนกว่าจะตรวจไม่พบตุ่มโทฟัส และระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่า 4 - 5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และไม่เกิดอาการข้ออักเสบอย่างน้อย 3 - 6 เดือน วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ปีก อาหารทะเลบางชนิด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ดื่มน้ำให้มากเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกายทางปัสสาวะ หากมีอาการปวดข้อเฉียบพลันแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้งาน ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ