การรักษาโรคเกาต์

ปัจจุบันโรคเกาต์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถบรรเทาอาการเป็นๆหายๆ เรื้อรังได้ ทั้งการปรับพฤติกรรมและการใช้ยาควบคู่กันไปภายใต้คำแนะนำของแพทย์

ระยะต้นของโรคเกาต์ ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื้องต้น ได้แก่ ปวด 1-2 ข้อ มีอาการปวดเป็นๆ หายๆ และลุกลามไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น ไตวาย โรคไต และนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้

โรคเกาต์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

  • ระยะเฉียบพลัน มักมีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลันทันที มักพบอาการปวดตอนกลางคืน และบริเวณเกิดอาการปวดได้บ่อย ได้แก่ หัวแม่เท้าและที่ข้อเท้า สามารถหายไปเองได้ แต่จะกลับมาปวดซ้ำๆ อีกเรื่อยๆ และมีอาการปวดแบบเป็นๆ หายๆ
  • ระยะช่วงพัก สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ โดยที่เมื่อมีอาการปวดข้อระยะเวลาที่ปวดจะสั้นลง แต่ความถี่ของอาการปวดมากจะมากกว่าระยะเฉียบพลัน และจะปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ
  • ระยะเรื้อรัง คือกลุ่มผู้ป่วยที่ป่วยมานานกว่า 10 ปีขึ้นไป จะมีอาการข้ออักเสบหลายข้อ และปวดตลอดเวลา ไม่มีช่วงเว้นว่างหายสนิท และในระยะนี้มักมีปุ่มก้อนขึ้นตามข้อต่างๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบ โดยปุ่มเหล่านี้เกิดจากก้อนผลึกยูเรทที่มีการสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเรื้อรังหากผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี จะสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้อาการของโรครุนแรงมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม โรคเกาต์ไม่สามารถหายเองได้ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เพราะฉะนั้นหากมีอาการปวดตามข้อต่อต่างๆ ตามร่างกายอย่างกะทันหันหรือรุนแรง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป

การรักษาในระยะที่มีการอักเสบเฉียบพลัน

  • สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ที่อาการอยู่ในระยะข้ออักเสบเฉียบพลัน แพทย์ส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบีบนวดข้อ การประคบ และควรพักการใช้ข้อ โดยวิธีรักษาโรคเกาต์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการใช้ยารักษาอาการและบรรเทาอาการเจ็บปวด
  • ยารักษาโรคเกาต์ ให้หายขาดที่นิยมใช้เพื่อลดอาการอักเสบ ได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine) และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) โดยแนะนำให้รับประทานยาโคลชิซิน 1 เม็ด (0.6 มิลลิกรัม) ทุก 4 - 6 ชั่วโมงในวันแรก และลดเหลือวันละ 2 เม็ดในวันถัดมา

ส่วนใหญ่แพทย์มักจะให้ทานยาโคลชิซินประมาณ 3 - 7 วัน หรือจนกว่าอาการอักเสบจะหายดี ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปริมาณในการรับประทานยาแต่ละครั้งเนื่องจากผู้ป่วยบางท่านอาจจะมีปัญหาเรื่องการทำงานของไต หรือผู้ป่วยสูงใหญ่จำเป็นต้องลดปริมาณยาลดเพื่อความปลอดภัยและเพื่อบรรเทาอาการอักเสบควรเลือกใช้ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ที่มีค่าครึ่งชีวิตสั้น และออกฤทธิ์เร็ว โดยแนะนำให้ทาน 3-7 วัน หรือจนกว่าอาการจะหายดี

อย่างไรก็ตามยาโคลชิซิน หรือยาต้านการอักเสบ ก็จะมีผลข้างเคียง ได้แก่ ยาโคลชิซินสามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร การทำงานของไตบกพร่อง หรือโรคตับทานยา

การรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบซ้ำในระยะยาว

การรักษาโรคส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาเพื่อลดระดับของกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลงมา โดยการรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบซ้ำในระยะยาวผู้ป่วยโรคเกาต์จำเป็นต้องรับประทานยาโคลชิซินขนาด 0.6 - 1.2 มิลลิกรัมต่อวัน (ตามดุลพินิจของแพทย์) ซึ่งต้องทานจนกว่าจะตรวจไม่พบตุ่มโทฟัส และระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่า 4 - 5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และไม่เกิดอาการข้ออักเสบอย่างน้อย 3 - 6 เดือน

วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์

  • ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ปีก อาหารทะเลบางชนิด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
  • ดื่มน้ำให้มากเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
  • หากมีอาการปวดข้อเฉียบพลันแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้งาน

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เกาต์เทียม กับ เกาต์ แตกต่างกันอย่างไร

เกาต์เทียม กับ เกาต์ แตกต่างกันอย่างไร

“โรคเกาต์เทียม” คือการอักเสบเฉียบพลันเป็นพักๆ อาจไม่คุ้นหูมากนักแต่เป็นโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อยรองจากโรคเกาต์ เช็กอาการและจุดโรคกำเริบของเกาต์เทียมที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง โรคเกาต์เทียม (Pseudogout) เป็นโรคข้ออักเสบอีกหนึ่งชนิดที่พบบ่อยรองจากโรคเกาต์ ถึงชื่อและอาการจะคล้ายกันแต่คนละชนิดกัน ซึ่งเกาต์เทียม เกิดจากการคั่งและสะสมของผลึกเกลือชนิดที่เรียกว่าแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต (calcium pyrophosphate dihydrateหรือ CPPD) ที่สามารถทำให้ข้อเกิดการอักเสบเฉียบพลันเป็นพักๆ เกาต์กับเกาต์เทียมแตกต่างกันอย่างไร เกาต์ เกิดจากร่างกายมีการคั่งและสะสมของผลึกยูเรตหรือกรดยูริกข้อที่พบการอักเสบได้บ่อยคือ ข้อโคนหัวแม่เท้า ข้อโคนนิ้วเท้า ข้อเท้าเอ็นร้อยหวาย ข้อเข่า เป็นต้น เกาต์เทียม สะสมแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตข้อที่พบการอักเสบได้บ่อย คือ ข้อเข่า ข้อมือ ข้อไหล่ข้อศอก ข้อเท้า และข้อนิ้วมือ เป็นต้นการอักเสบที่รุนแรงของโรคเก๊าต์เทียมมักเกิดที่ข้อเข่าทำให้เจ็บปวดจนอาจถึงขั้นเดินไม่ได้หลายวันหรือหลายสัปดาห์เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคเกาต์เทียมได้เท่าๆ กันโดยความเสี่ยงของการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตพบได้ร้อยละ 3 ในคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไปยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งพบผลึกนี้มากขึ้น และพบได้ถึงประมาณร้อยละ 50 ของคนที่อายุตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไปแต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีผลึกนี้สะสมอยู่ในข้อ จะเกิดอาการข้ออักเสบ สาเหตุของโรคเกาต์เทียม การสะสมผลึกเกลือซีพีพีดี เนื่องจากมีไพโรฟอสเฟตอนินทรีย์เพิ่มมากขึ้นในกระดูกอ่อนผิวข้อ โดยสารไพโรฟอสเฟตอนินทรีย์ถูกสร้างเพิ่มขึ้นจากกระดูกอ่อนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการตกผลึกเกลือซีพีพีดี พันธุกรรม รวมทั้งผู้ที่มีความผิดปกติทางระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึ่มบางอย่าง เช่นเป็นโรคไทรอยด์ต่ำ โรคฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง โรคที่มีธาตุเหล็กคั่งในตัวมากและสภาวะโรคต่างๆ ที่ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเก๊าท์เทียมได้ การเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันอาจเกิดหลังจากการผ่าตัดข้อ การผ่าตัดอย่างอื่น ตลอดจนการบาดเจ็บที่ข้อหรือมีการเจ็บป่วยทางร่างกายอย่างอื่นในผู้สูงอายุสภาวะเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดข้ออักเสบเฉียบพลันในผู้ป่วยที่มีผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตสะสมไว้ในข้อ อาการโรคเกาต์เทียมเลียนแบบโรคอื่น Type A อาการข้ออักเสบเฉียบพลันแบบเป็นๆ หายๆ เลียนแบบโรคเกาต์ Type B อาการของข้ออักเสบเรื้อรัง เลียนแบบโรครูมาตอยด์ Type C and D อาการปวดข้อเรื้อรังแบบโรคข้อเสื่อมเทียม Type E ไม่มีอาการ แต่สามารถตรวจพบผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต Type F มีอาการโรคข้อจากพยาธิประสาทเทียม การคั่งและสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต โดยทั่วไปจะเกาะอยู่ที่กระดูกอ่อนในข้อ บางครั้งจะกระจายไปอยู่ที่เยื่อบุข้อผลึกนี้ทำให้ข้อเสื่อมสภาพเร็วขึ้นบางครั้งผลึกนี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาจนเกิดการอักเสบในข้อโดยผลึกจะแตกตัวออกไปและเม็ดโลหิตขาวจะเข้ามากินผลึกนี้โดยนึกว่าเป็นเชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลันการอักเสบแต่ละครั้งจะทำให้เกิดการทำลายกระดูกอ่อนภายในข้อ วิธีรักษาโรคเกาต์เทียม ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถละลายผลึกของโรคเก๊าท์เทียมออกจากกระดูกอ่อนในข้อได้ ดังนั้นการรักษาโรคนี้ส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การรักษาอาการอักเสบของข้อการป้องกันการเป็นซ้ำ และการตรวจหาโรคที่อาจพบร่วมกับโรคเกาต์เทียมแล้วให้การรักษาควบคู่กันไป การรักษาโรคเก๊าต์เทียมขณะที่มีข้ออักเสบเฉียบพลัน โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAIDs) ในผู้ป่วยที่สมรรถนะของไตไม่ดี หรือมีประวัติเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือกำลังกินยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ก็ไม่ควรใช้ยา NSAIDs แพทย์จะใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อจะปลอดภัยกว่าในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยารับประทานก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาฉีดเข้าข้อเช่นกัน แต่ไม่ควรกระทำบ่อย สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำไขข้อมาก การดูดเอาน้ำไขข้อออกจะช่วยลดการอักเสบของข้อได้ ผู้ป่วยบางรายมีข้อบวมมากเช่น ข้อเข่า ซึ่งอาจมีไข้และมีอาการซึมต้องเจาะและดูดน้ำไขข้อที่มีผลึกของโรคเกาต์เทียมออกไปให้มากที่สุดแล้วฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

"โรคเกาต์" สัญญาณเสี่ยงรีบพบแพทย์

"โรคเกาต์" สัญญาณเสี่ยงรีบพบแพทย์

“เกาต์”โรคข้ออักเสบที่ไม่สามารถหายเองได้ โรคเกาต์ (Gout) จัดเป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการมีระดับกรดยูริกสูงเป็นเวลานาน เผยสัญญาณเริ่มแรกของโรค ปล่อยทิ้งไว้อาจข้อผิดรูป ไตเสื่อมและเกิดโรคนิ่วที่ไต โรคเกาต์ (Gout) โรคข้ออักเสบที่เกิดจากการตกผลึกของ เกลือยูริก บริเวณข้อและเอ็นซึ่งส่วนใหญ่ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน ซึ่งหากผลึกยูริกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆจะทำให้เกิดก้อนที่เรียกว่า Tophi ในระยะยาวก้อนอาจทำให้ข้อผิดรูปและเสียหน้าที่ในการทำงาน นอกจากนั้นยังทำให้ ไตเสื่อมและเกิดโรคนิ่วที่ไต ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการเกาต์เฉียบพลัน คือ อาการปวด บวมแดงร้อนบริเวณข้อ สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์อาการเริ่มแรกมักจะมีอาการปวด บวม แดงตามบริเวณข้อต่อต่างๆ ตามร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยมักจะเกิดอาการปวดข้อตามบริเวณต่อไปนี้ ปวดข้อนิ้วหัวแม่เท้า ปวดข้อเท้า ข้อกลางเท้า ปวดข้อเข่า ปวดข้อมือ ข้อกลางมือ ปวดข้อศอก ปวดตาตุ่มของเท้า สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ถ้าหากมีอาการปวดตามข้อต่อต่างๆ ตามร่างกายอย่างกะทันหันหรือรุนแรง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป เนื่องจากโรคเกาต์เป็นโรคที่ไม่สามารถหายไปได้เอง แต่อาการปวดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่เข้ารับการรักษา หรือรักษาไม่ถูกวิธี ผู้ที่ความเสี่ยงโรคเกาต์ กรรมพันธุ์ ผู้ชายจะเริ่มอายุ 35-40 ปี ส่วนผู้หญิงเริ่มหลังอายุ 45 ปี หรือหลังจากหมดประจำเดือน อ้วน ถ้าน้ำหนักเกิน จะส่งผลให้กรดยูริกในเลือดสูงขึ้นด้วย การรับประทานอาหารที่มีพิวรีน (Purine) สูง การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โรคความดันโลหิตสูง ยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงบางชนิดจะลดการขับกรดยูริก ยา aspirin ยา niacin ยารักษาวัณโรค เช่น pyrazinamide , ethambutol, เหล่านี้มีผลทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นให้มีการสร้างกรดยูริกเพิ่ม ไตเสื่อม โรคที่ทำให้กรดยูริกสูงเช่นโรคมะเร็ง โรคเม็ดเลือดแดงแตก ภาวะขาดน้ำ การได้รับอุบัติเหตุที่ข้อ การป้องกันโรคเกาต์ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ลกน้ำหนัก หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง (ดังตาราง) งดแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 3 ลิตร รับประทาน colchicines 0.6 mg โดยปรับตามการทำงานของไต ในกรณีที่มีข้ออักเสบบ่อย หรือไตเสื่อม หรือมีระดับยูริกในเลือดสูง หรือมีก้อนเกาต์ (To phi) แพทย์จะพิจารณาจ่ายยาลดยูริก ซึ่งควรรับประทานสม่ำเสมอ ยกเว้นผู้ป่วยที่กำลังมีข้ออักเสบและไม่เคยทานยาลดกรดยูริกมาก่อน ควรรอให้ข้อหายอักเสบก่อนจึงจะเริ่มทานยาลดกรดยูริกได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้ข้ออักเสบเพิ่มขึ้นได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

หญิงวัยทอง เสี่ยงเกาต์

หญิงวัยทอง เสี่ยงเกาต์

ถึงแม้สถิติจะบ่งบอกว่าผู้ชายมีความเสี่ยงโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง 10 เท่า แต่คุณผู้หญิงเองก็ต้องใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะ "วัยทอง" ไม่แพ้ผู้ชายเนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ขับกรดยูริกลดลง โรคเกาต์ หนึ่งในโรคกระดูก และข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการกินโปรตีนบางชนิดมากเกินไป ซึ่งโปรตีนดังกล่าวจะย่อยสลายเป็นกรดยูริคไปตกตะกอนในข้อ ทำให้ข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้ออักเสบเฉียบพลันการเกิดโรคเกาต์ผู้ป่วยมักมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานพอสมควรโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าระดับกรดยูริกยิ่งสูง อุบัติการณ์การเกิดโรคจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เกิดอาการได้เร็วยิ่งขึ้น ในเพศชายพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าเพศหญิงประมาณ 10 เท่า แต่วัยหลังหมดประจำเดือน เพศหญิงจะพบโรคสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเพศชาย การอักเสบ ของข้อครั้งแรกมักพบในเพศชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 40-60 ปี แต่ในเพศหญิงมักพบหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว เพราะในวัยเจริญพันธุ์ผู้หญิงแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าจนกว่าจะหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนซึ่งมีฤทธิ์ในการเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจากค่อยๆ สูงขึ้น ใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี จนมีค่าใกล้เคียงกับระดับกรดยูริกในเลือดของผู้ชาย โรคที่พบร่วมกับโรคเกาต์ที่ผู้สูงอายุต้องระวัง โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ พบว่าสูงร้อยละ 80 ของคนไข้โรคเกาต์ทั้งหมด ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว โรคไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเลือดบางชนิด เช่นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัดจะทำให้เซลล์ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงมากๆ ก่อให้เกิดโรคเกาต์ ข้ออักเสบ นิ่วที่ไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริกเองไปอุดตันตามท่อเล็กๆ ในเนื้อไต ทำให้เกิดไตวายได้ อย่างไรก็ตามข้ออักเสบในระยะแรกมักเป็นเพียง 1-2 ข้อ จะมีการอักเสบรุนแรงเป็นเฉียบพลัน จากระยะเริ่มปวดจนอักเสบเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนมากจะเกิดขึ้นทีละ 1 ข้อ ข้อที่พบบ่อย ได้แก่ โคนนิ้วโป้งเท้า ข้อเท้า ข้อกลางเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อกลางมือ ข้อมือ ข้อศอก ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง จำนวนข้อที่อักเสบจะเพิ่มขึ้น เริ่มพบที่ข้อมือ ข้อนิ้วมือ และข้อศอก การอักเสบรุนแรงขึ้น เป็นถี่ขึ้นและนานขึ้น จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

โรคเกาท์ (Gout)

โรคเกาท์ (Gout)

โรคเกาท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดจากการมีกรดยูริคในเลือดสูงมาเป็นเวลานาน และมีการตกตะกอนเป็นผลึกยูเรตสะสมตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ข้อ ทำให้เกิดข้ออักเสบ ,ไต ทำให้เกิดนิ่วในไตและไตวาย สาเหตุ -อาหารที่รับประทาน เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ผักรับประทานยอด แตงกวา เป็นต้น -การสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย อาการและอาการแสดง แบ่งเป็น 4 ระยะ ระยะที่ไม่มีอาการ แต่พบระดับยูริคในเลือดสูงกว่าปกติ ระยะที่มีอาการอักเสบของข้อ มักทำให้ปวดข้อรุนแรงที่นิ้วหัวแม่เท้า ส้นเท้า ข้อเข่า นิ้วมือและข้อมือ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้าจะปวดมาก บริเวณข้อที่ปวดมักจะแดงร้อน บวมตึง ระยะที่อาการสงบ เป็นระยะที่มีอาการเจ็บปวดหรืออักเสบ แต่ระดับกรดยูริคในเลือดยังคงสูง ระยะเรื้อรัง เป็นระยะที่มีอาการอักเสบและปวดของข้ออยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากมีผลึกยูเรตสะสมอยู่ในกระดูกอ่อนของข้อกระดูกโดยรอบเป็นจำนวนมาก การรักษา รักษาด้วยยา หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเครียดทางจิตใจ การพักข้อกระดูกที่ปวด การควบคุมอาหาร ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคเกาท์ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วในไต ในบุคคลที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องดื่มน้ำ หากมีภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย เพราะอาจมีการสลายเซลล์ในร่างกายรวดเร็วทำให้มีระดับยูริคที่สูงขึ้นได้ ควรงดอาหารที่ทำให้อาการกำเริบ ได้แก่ เหล้า เบียร์ และอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด เนื้อหมู เนื้อวัว กุ้ง หอย กุนเชียง ไส้กรอก สัตว์ปีก ถั่ว ชะอม กระถิน เป็นต้น รับประทานยาต่าง ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อโรค เช่น แอสไพริน ยาขับปัสสาวะ ไทอาไซด์ เพราะอาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริคได้น้อย ติดต่อสอบถามเพิ่มเตอมได้ที่ ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319860

เกาต์ หญิงกับชายใครเสี่ยงกว่ากัน

เกาต์ หญิงกับชายใครเสี่ยงกว่ากัน

โรคเกาต์พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหลายเท่า นั้นก็เพราะเกี่ยวข้องกับกรดยูริคที่เพิ่มขึ้นมากตามอายุ ขณะที่ผู้หญิงจะเพิ่มขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน รู้จักโรคเกาต์ที่ไม่ว่าใครก็เป็นได้! โรคเกาต์ (gout) ข้ออักเสบที่หายเองไม่ได้ เกิดจากการระดับกรดยูริกสูงในเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมกรดยูริคในร่างกายจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน ก็จะไปตกตะกอนอยู่บริเวณรอบๆ ข้อ หรือภายในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น โดยเฉพาะที่ข้อ บริเวณใกล้ข้อและที่ไตเหมือนกัน หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะได้รับประโยชน์มาก แต่หากไม่ได้รับการรักษา หรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจต้องพบกับการพิการทางข้อ และหรือไตวายเรื้อรังได้ ทำไมผู้ชายถึงเสี่ยงโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง โรคเกาต์มักเป็นกับผู้ชายวัยสูงอายุ เนื่องจากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น จะยังไม่เกิดการตกตะกอน และเกิดข้ออักเสบทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่กรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายสิบปี พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น ระดับของยูริคในเลือดจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และสูงไปนานจนกว่าจะเริ่มมีอาการคืออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงระดับยูริคจะเริ่มสูงขึ้นหลังจากวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงโดยเฉพาะเอสโตรเจนจะมีผลทำให้กรดยูริคในเลือดไม่สูง โดยทั่วไปโรคเกาต์พบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยทั่วไปก็พบเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี ในเพศหญิงส่วนมากก็จะพบแต่ในวัยหมดประจำเดือน ถ้าหากพบโรคเกาต์ในเด็กก็ต้องมองหาความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรม บางชนิดซึ่งพบได้น้อยมาก โรคที่พบร่วมกับโรคเกาต์ โรคอ้วน มีโอกาสมากกว่าคนผอม โรคเบาหวาน คนไข้โรคเกาต์โดยทั่วไปก็พบได้บ่อยว่ามีน้ำหนักตัวมากจึงพบโรคเบาหวานได้บ่อย ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะระดับไขมันไตรกรีเซอไรด์ ซึ่งพบว่าสูงได้ประมาณ80%ของคนไข้โรคเกาต์ทั้งหมด ความดันโลหิตสูง จากการศึกษาวิจัยพบโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับโรคเกาต์ได้บ่อย โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว โรคไตวายเรื้อรัง โรคเลือดชนิด sickle cell anemia, myeloproliferative diseas โรคเลือดบางชนิด โรคมะเร็ง โดย เฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัด จะทำให้เซลล์ถูกทำลายมากอย่างรวดเร็ว จะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงมากๆ ได้ ทำให้เกิดโรคเกาต์ ข้ออักเสบ นิ่วไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริคเองไปอุดตันตามท่อเล็กๆ ในเนื้อไตทำให้เกิดไตวายได้ การดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกาต์ เนื่องจากไปขัดขวางกระบวนการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย อีกทั้งแอลกอฮอล์ช่วยเร่งปฏิกิริยาการสร้างกรดยูริค ยาบางชนิดเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเกาต์ โดยจะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูง เนื่องจากยาเหล่านี้ไปลดการขับถ่ายกรดยูริคออกทางไต ทำให้เกิดการคั่งของกรดยูริคในเลือด จนกระทั่งทำให้ระดับของกรดยูริคในเลือดสูง เช่น ยาแอสไพริน,ยาขับปัสสาวะกลุ่ม,ยารักษาโรคพาร์กินสัน,ยารักษาวัณโรค เช่น ไพราซินาไมด์ หรืออีแธมบูทอล,ยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคเกาต์ 90% เกิดจากการที่กรดยูริคถูกสร้างขึ้น แต่ไตทำหน้าที่ขับถ่ายออกมาได้ช้าหรือน้อย แต่ไม่เสมอไปทุกคน และหลายคนที่มีระดับกรดยูริกสูงในกระแสเลือดกลับไม่มีอาการข้ออักเสบจากโรคเกาต์ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 เกิดจากการที่ร่างกายสร้างกรดยูริคมากเกินไป พบว่ายูริคในเลือดที่สูงนั้น อย่างไรก็ตามหากมีอาการปวดข้อควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

“โรคเกาต์” รักษาหายหรือไม่

“โรคเกาต์” รักษาหายหรือไม่

โรคเกาต์ เกิดจากอะไร “โรคเกาต์” คือโรคที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายเป็นเวลานาน โดยอาจจะเกิดจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น การดื่มสุรา น้ำหนักเกิน และโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไต รวมถึงการกินยาเป็นประจำบางอย่าง อาการของโรคเกาต์ “โรคเกาต์” จะทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบเป็นๆ หายๆ บริเวณข้อต่าง ๆ เช่น ข้อโคนหัวแม่เท้า เป็นต้น ซึ่งเราสามารถสังเกตง่ายๆ ว่าอาการจะไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน คือไม่ได้กระทบหรือกระแทกอะไร แต่บางทีก็เกิดการอักเสบขึ้นมา โดยที่มักจะปวดถึงจุดสูงสุดนาน 24 ชั่วโมง ถ้าหากมีอาการแบบนี้ให้รีบสงสัยเลยว่าเป็น “โรคเกานต์” อย่างไรก็ตามหากเป็นแล้ว ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง การอักเสบจะลุกลามไปยังข้ออื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น ข้อเข่า ข้อมือ และ ข้อศอก “เกาต์” โรคที่มักพบในเพศชาย อายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากปัจจัยด้านพันธุกรรมและพฤติกรรม โรคเกาต์จะพบมากในเพศชาย ที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แต่ในช่วงหลังด้วยวิถีชีวิตของคนเราที่เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร โรคเกาต์เลยเริ่มพบในคนที่อายุน้อยกว่านี้มากขึ้น การรักษาโรคเกาต์ การรักษาขั้นตอนแรก ต้องรักษาอาการปวดแบบเฉียบพลันให้หายเร็วที่สุด โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน เนื่องจากยาแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน และถ้ามีน้ำในเข่าเยอะ ซึ่งส่งผลให้ปวดเข่าและอึดอัดมาก การรักษาด้วยการเจาะเข่าจะช่วยให้สบายขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นระยะอาการแบบเฉียบพลันไปแล้ว อาการปวดบวมหายแล้ว จะนิ่งนอนใจไม่ได้ ยังจำเป็นต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง เพราะโรคเกาต์จัดเป็นโรคที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ต้องงดแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นทั้งสาเหตุและตัวกระตุ้นที่ทำให้อวัยวะบริเวณข้อต่อเกิดอาการอักเสบเพิ่มขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงกินอาหารบางชนิดด้วย เพราะถ้าทานเยอะไป อาจทำให้กรดยูริกสูงได่ เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง และ อาหารทะเล ยังไม่มีวิธีใด วิธีหนึ่งที่รักษาครั้งเดียว ให้ยูริกหายอย่างถาวร วิธีที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยหยุดแอลกอฮอล์ ลดน้ำหนัก ดื่มน้ำเยอะๆ และหลังจากนั้นต้องใช้ยาประจำ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ