ผ่าตัดเส้นฟอกไต

ผ่าตัดเส้นฟอกไต

ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง เมื่อก้าวเข้าสู่ระยะที่ไตไม่สามารถทำหน้าที่ขับน้ำและของเสียออกจากร่างกายได้ แพทย์จำเป็นต้องพิจารณาให้ผู้ป่วยรักษาด้วยการฟอกไต หรือที่มักเรียกกันว่าล้างไต ผู้ป่วยสามารถฟอกไตผ่านเครื่องไตเทียม หรือล้างไตผ่านทางช่องท้อง ตามความเหมาะสมและความสะดวกขงผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งผู้ป่วยจะต้องได้รับการฟอกไตตลอดชีวิตหรือจนกว่าจะมีการปลูกถ่ายไต การผ่าตัดเส้นฟอกไต (Vascular Access) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาที่ดีในระยะยาว

การฟอกไตทางหลอดเลือด (Hemodialysis) เป็นการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพื่อกำจัดของเสียและปรับสมดุลเลือดให้กับผู้ป่วยไตวาย โดยผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายฟอกเลือดชั่วคราวด้วยเข็มฟอกเลือดขนาดโตที่เจาะเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อให้หลอดเลือดดำมีขนาดโตและเลือดไหลเวียนได้มากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยไตวายที่บำบัดด้วยการฟอกเลือดล้างไตจะต้องล้างวันละ 4 – 5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ตลอดชีวิตหรือจนกว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไต จึงจำเป็นที่จะต้องทำเส้นฟอกไต

ที่มาของภาพ : เว็บไซต์โรงพยาบาลกรุงเทพ https://www.bangkokhospital.com/content/vascular-access-returned-quality-of-life

    ประเภทของเส้นฟอกไต

    1. เส้นเลือดจริง (AVF: Arteriovenous Fistula) ใช้เส้นเลือดจริงของผู้ป่วย คือ เส้นเลือดดำเชื่อมต่อกับเส้นเลือดแดงของผู้ป่วย ต้องใช้เวลาหลังผ่าตัดประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ โดยเส้นเลือดดำจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังเส้นเลือดจึงสามารถใช้ฟอกไตได้ ข้อดีของการใช้เส้นเลือดจริง คือ ใช้ได้นานประมาณ 4 – 5ปี ภาวะแทรกซ้อนต่ำ อัตราการติดเชื้อต่ำ การตีบตันของเส้นเลือดต่ำ โดยปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการทำเส้นฟอกไต คือ คุณภาพของเส้นเลือด การออกกำลังข้อมือ ความเข้มข้นของเลือด และการตีบตันของหลอดเลือด เป็นต้นผ่าตัดเส้นฟอกไต ฟื้นคืนคุณภาพชีวิต ที่มาของภาพ : เว็บไซต์โรงพยาบาลกรุงเทพ https://www.bangkokhospital.com/content/vascular-access-returned-quality-of-life
    2. เส้นเลือดเทียม (AVG: Arteriovenous Graft) ใช้ในกรณีที่เส้นเลือดจริงของผู้ป่วยมีขนาดเล็กหรือไม่มีเส้นเลือดดำที่เหมาะสมในการทำเส้นฟอกไต โดยขนาดเส้นเลือดดำที่เหมาะสมควรมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 – 2.5 มิลลิเมตร แพทย์จะใช้เส้นเลือดเทียมหรือท่อเชื่อมต่อเส้นเลือดแดง ซึ่งสามารถใช้ฟอกไตได้หลังผ่าตัดตั้งแต่ 1 วัน – 3 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับชนิดของเส้นเลือดเทียม แต่ข้อจำกัดของเส้นเลือดเทียม คือ อายุการใช้งานสั้น ภาวะแทรกซ้อนสูง ราคาจะสูงกว่าเส้นเลือดจริง

    เมื่อไรควรทำเส้นฟอกไต

    • เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 5 ของโรคไต คือค่า GFR น้อยกว่า 15 mL./min/1.73 m2
    • ต้องฟอกไตภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี
    • อาจต้องฟอกไตฉุกเฉินเมื่อมีอาการปัสสาวะออกน้อย, ซึมลง, อ่อนเพลีย, ภาวะเลือดเป็นกรด และเกลือแร่ในกระแสเลือดผิดปกติ, บวมทั้งตัว

    หากไม่ได้ทำเส้นฟอกไตไว้ล่วงหน้าอาจจำเป็นต้องใส่สายฟอกไตบริเวณลำคอเพื่อฟอกไตไปก่อนจนกว่าเส้นฟอกไตจะใช้ได้ ซึ่งใช้เวลาโดยประมาณ 6 สัปดาห์ (กรณีใช้เส้นเลือดจริง AVF)

    ข้อดีในการทำเส้นฟอกไต

    • ไม่ต้องใช้สายฟอกไตชั่วคราว ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเส้นเลือดดำที่คอและช่องอกตีบตัน
    • สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น อาบน้ำ ว่ายน้ำ ฯลฯ
    • ไม่ต้องใส่สายฟอกไตที่คอแบบฉุกเฉิน

    อย่างไรก็ตามความสำเร็จของการผ่าตัดเส้นฟอกไตยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คุณภาพของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ความเข้มข้นของเลือด การอุดตันของเส้นเลือด ตลอดจนการออกกำลังของมือ ดังนั้นควรเลือกผ่าตัดรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

    ที่มาของข้อมูล : เว็บไซต์โรงพยาบาลกรุงเทพ https://bangkokhospital.com/content/vascular-access-returned-quality-of-life

    สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ศัลยกรรมเฉพาะทางด้านหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร 039-319860

    บทความที่เกี่ยวข้อง

    การผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

    การผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง

    การผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่พบบ่อยในแผนกศัลยกรรม การรักษามาตรฐาน คือ การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องโดยมีแผลบริเวณท้องน้อยด้านขวา แต่ในปัจจุบันได้มีการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้อง ซึ่งมีข้อดี เหมือนการผ่าตัดผ่านกล้องในโรคอื่นๆ ซึ่งโดยทั่วไปการผ่าตัดผ่านกล้องนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังต่อไปนี้ ข้อดีและประโยชน์ของการผ่าตัดผ่านกล้อง แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ถ้าลงแผลผ่านสะดือจะไม่เห็นแผลเป็น หลังผ่าตัดปวดแผลน้อย ทำให้ใช้ยาแก้ปวดน้อยลง ลดระยะเวลาการอยู่โรงพยาบาล ละระยะเวลาการพักฟื้นก่อนกลับไปทำงาน ลดภาระแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด โดยเฉพาะเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนเรื่องแผล ลดพังผืด หลังผ่าตัด ลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่ออื่นๆโดยตรง ลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่ออื่นจากการสัมผัสอากาศแห้งเป็นเวลานาน รวมทั้งลดการเสียน้ำ และความร้อนระหว่างผ่าตัด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก ศัลยแพทย์สามารถเห็นรอยโรคได้ชัดเจนขึ้นจากการขยายของเลนส์กล้อง ทำให้การผ่าตัดมีความปลอดภัยและแม่นยำขึ้น ข้อเสียการผ่าตัดผ่านกล้อง เครื่องมือมีราคาแพง ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอื่นเพิ่มเติมในบางการผ่าตัด ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่ม ต้องอาศัยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ข้อจำกัดในการผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยที่มีโรคปอด ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจ ผู้ป่วยที่อ้วนมากเกินไป ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319860

    เจ็บหลังเรื้อรัง...อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก

    เจ็บหลังเรื้อรัง...อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก

    เจ็บหลังเรื้อรัง อาจไม่ใช่เรื่องเล็กอาการปวดหลังมักดีขึ้นได้ด้วยการพักผ่อน การใช้ยา หรือการทำกายภาพบำบัด แต่หากมีอาการต่อเนื่องนานหลายเดือน ร้าวลงขา หรือกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน อาจบ่งบอกถึงภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางการผ่าตัดหลังส่องกล้อง (Endoscopic Discectomy)เทคนิคการผ่าตัดที่ใช้กล้องส่องเข้าไปเพื่อนำส่วนของหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาทออก โดยมีข้อดี ได้แก่• แผลขนาดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร• ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้างเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด• ผู้ป่วยเจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และมักกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ในเวลาไม่นาน• ระยะเวลานอนโรงพยาบาลสั้นเคสตัวอย่างผู้ป่วยวัยทำงานมีอาการปวดหลังร้าวลงขาต่อเนื่อง ได้รับการรักษาด้วยยาและกายภาพแล้วไม่ดีขึ้น จึงเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้อง หลังผ่าตัดไม่กี่วันสามารถลุกเดินได้เอง อาการปวดลดลงอย่างชัดเจน และกลับไปทำงานได้เร็วได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปในเมืองหลวง• นพ.ณัฐธีร์ วรรณรัตนศิริ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์เฉพาะทางด้านโรคกระดูกสันหลัง• นพ.วิทย์ โคธีรานุรักษ์ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์โรคกระดูกสันหลัง จาก โรงพยาบาลกรุงเทพ (BDMS)หากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย หาสาเหตุที่แท้จริง และเลือกรับการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

    ไส้เลื่อน

    ไส้เลื่อน

    ไส้เลื่อน ไส้เลื่อน (Hernia) คือภาวะที่ลำไส้ยื่นผ่านกล้ามเนื้อช่องท้อง หรือโผล่ยื่นออกสู่ช่องทางอื่นที่สามารถผ่านไปได้ พบได้บ่อยตามบริเวณต่างๆที่เป็นจุดอ่อนแอของกล้ามเนื้อ ได้แก่ บริเวณขาหนีบ กล้ามเนื้อโดยรอบสะดือ บริเวณต้นขา และบริเวณที่เคยได้รับการผ่าตัด สาเหตุของไส้เลื่อน ความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแต่กำเนิด การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจากการผ่าตัด การเสื่อมตามวัยในผู้สูงอายุ การมีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นจากการยกของหนัก การไอเรื้อรัง การอาเจียนบ่อยๆ หรือการตั้งครรภ์ เป็นต้น อาการและอาการแสดงของไส้เลื่อน คลำพบก้อนเลื่อนเข้าออกได้ในตำแหน่งของไส้เลื่อน หากก้อนนั้นไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้เมื่อผู้ป่วยนอนศีรษะต่ำ ถุงไส้เลื่อนจะบวม ปวด กดเจ็บบริเวณก้อนและมีอาการของลำไส้อุดตัน ได้แก่ ปวดท้อง ไม่ถ่ายอุจจาระ ไม่ผายลม คลื่นไส้ อาเจียน และถ้ามีการบีบรัดและขาดเลือดไปเลี้ยง จะมีอาการปวดที่ไส้เลื่อนมาก หากไม่ได้รับการรักษาลำไส้ส่วนนั้นจะเน่า ทะลุ และเกิดเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบได้ การรักษา แพทย์มักไม่แนะนำให้รักษาด้วยยา เนื่องจากการถูกบีบรัดของอวัยวะยังคงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นการรักษาจึงมี 2 วิธีหลัก ที่นับว่าได้ผลดี การดันไส้เลื่อนกลับเข้าที่ (Taxis) ซึ่งทำในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการของไส้เลื่อนชนิดบีบรัดและขาดเลือด มีอาการเกิดขึ้นภายใน 6 ชั่วโมง การผ่าตัด เป็นวิธีที่ดีที่สุด และได้ผลที่เเน่นอน ซึ่งการผ่าตัดแบ่งออกเป็น 4 วิธี ดังนี้ Herniotomy เป็นการตัดเฉพาะถุงไส้เลื่อน ไม่ต้องเย็บซ่อมแซมผนังด้านหลัง มักทำในเด็กเล็ก Herniorrhaphy เป็นการผ่าตัดที่ดี และนิยมที่สุด ให้ผลที่แแน่นอน โดยตัดเอาถุงไส้เลื่อนออกแล้วเย็บซ่อมแซมผนังด้านหลัง มีอยู่หลายเทคนิค อาจจะเย็บปิดด้วยกล้ามเนื้อหรือใช้สารสังเคราะห์ เช่น Mesh Hernioplasty เป็นการซ่อมแซมตกแต่งไส้เลื่อน หลังผ่าตัดไส้เลื่อน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนและกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน ผู้ป่วยบางคนอาจผ่าตัดเป็นผู้ป่วยนอก สำหรับผู้ที่มีการบีบรัดและขาดเลือดหรือมีการอุดตันของลำไส้ อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน และอาจจะต้องมีการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง Laparoscopic inguinal herniorrhaphy เป็นการผ่าตัดรักษาไส้เลื่อนขาหนีบผ่านกล้อง โดยการสอดกล้องผ่านผิวหนังบริเวณสะดือ แล้วนำภาพขึ้นจอภาพ พร้อมสอดเครื่องมือขนาด0.5-1 เซนติเมตร อีก 2-3 แผล เพื่อทำการผ่าตัด สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319860

    การล้มเพียงครั้งเดียว…อาจเปลี่ยนชีวิตผู้สูงอายุไปตลอดกาล

    การล้มเพียงครั้งเดียว…อาจเปลี่ยนชีวิตผู้สูงอายุไปตลอดกาล

    การล้มเพียงครั้งเดียว…อาจเปลี่ยนชีวิตผู้สูงอายุไปตลอดกาล ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ผู้สูงอายุราว 1 ใน 3 มีโอกาสหกล้มอย่างน้อยปีละครั้ง และในกลุ่มอายุมากกว่า 80 ปี ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50%ในประเทศไทย กรมอนามัยรายงานว่า การหกล้มเป็นสาเหตุการบาดเจ็บอันดับ 1 ของผู้สูงอายุ และมักทำให้เกิดภาวะกระดูกสะโพกหัก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเดินและคุณภาพชีวิตเคสล่าสุดที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ผู้สูงอายุรายหนึ่งเพียงแค่ “ล้มจากเก้าอี้” แต่กลับทำให้ กระดูกสะโพกหัก ต้องเข้ารับการผ่าตัด เปลี่ยนซ่อมข้อสะโพกเทียม (Bipolar Hemiarthroplasty) เพื่อให้สามารถกลับมาเดินและใช้ชีวิตประจำวันได้อีกครั้งเคสนี้ได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ• นพ. ศุภฤกษ์ สุขสำราญ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดข้อสะโพกและข้อเข่าเทียม• นพ. ทวีชัย จิรชูพันธ์ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ ผู้ชำนาญด้านโรคกระดูกสันหลังจุดแข็งของ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี คือการมีทีมสหสาขาครบวงจร- ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์หลายสาขา- ทีมวิสัญญีและพยาบาลวิชาชีพที่เชี่ยวชาญการดูแลผู้สูงอายุ- ทีมกายภาพบำบัดที่วางแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล ตั้งแต่ฝึกเดินหลังผ่าตัดจนกลับไปใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ เพราะในความเป็นจริง “การหกล้มเพียงครั้งเดียว” ของผู้สูงอายุ ไม่ได้จบแค่การบาดเจ็บ แต่ยังหมายถึงความเสี่ยงที่จะสูญเสียการเคลื่อนไหว ความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมด้วยทีมแพทย์และทีมฟื้นฟูครบวงจร จะเป็นกำลังสำคัญในการพาผู้สูงอายุกลับมายืน เดิน และใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

    ผ่าตัดลดขนาดเต้านม

    ผ่าตัดลดขนาดเต้านม

    ผ่าตัดลดขนาดเต้านม มากกว่าความสวยงาม คือการคืนสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นการผ่าตัดดำเนินการโดยพันตรี นายแพทย์จตุพร บุญสุวรรณ แพทย์ชำนาญการ สาขาศัลยสาตร์ตกแต่ง ศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีหลายคนอาจไม่รู้ว่า “หน้าอกใหญ่เกินไป” ไม่ได้กระทบแค่รูปร่างหรือความมั่นใจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ เช่นปวดคอ ปวดไหล่ และปวดหลังเรื้อรังหลังค่อม ไหล่งุ้ม เพราะน้ำหนักหน้าอกดึงร่างกายร่องรอยกดทับจากสายเสื้อชั้นในรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและการออกกำลังกายเกิดปัญหาด้านบุคลิกภาพและความมั่นใจการผ่าตัดลดขนาดเต้านม จึงไม่ใช่แค่เรื่องความสวย แต่คือการแก้ปัญหาสุขภาพ พร้อมสร้างสมดุลใหม่ให้กับร่างกายและชีวิตจุดเด่นของการรักษา ปรับขนาดและรูปทรงเต้านมให้สมดุลกับรูปร่าง ลดอาการเจ็บปวดและภาระทางร่างกาย เพิ่มความมั่นใจในการแต่งกายและการใช้ชีวิต ทีมแพทย์และพยาบาลดูแลใกล้ชิด ตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึงการพักฟื้น เพราะการผ่าตัดไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปร่าง แต่เปลี่ยนทั้งคุณภาพชีวิต ความมั่นใจ และสุขภาพในระยะยาว

    รักษาริดสีดวงทวารด้วยคลื่นความถี่สูง RFA

    รักษาริดสีดวงทวารด้วยคลื่นความถี่สูง RFA

    หยุดทนทรมานกับอาการริดสีดวง #รักษาริดสีดวงด้วยเทคโนโลยีไร้ใบมีด เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว รักษาริดสีดวงทวารด้วยคลื่นความถี่สูง RFA (Radiofrequency Ablation) โดยไม่ต้องผ่าตัด โรคริดสีดวง คือภาวะที่เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดที่บริเวณทวารหนักหรือทวารเบื้องหลัง ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวด อาการคัน และเลือดออกขณะขับถ่าย โดยมักแบ่งเป็นระยะต่าง ๆ และระยะที่ 2-3 คือระยะที่เหมาะสมกับการรักษาด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่สูง RFA (Radiofrequency Ablation) เทคโนโลยี RFA ใช้คลื่นความถี่สูงผ่านเข็มขนาดเล็ก 2 มม.ส่งพลังงานความร้อนทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกติ นำไปสู่การฝ่อและยุบตัวของหัวริดสีดวง #โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดแผล ทำให้คุณได้รับการรักษาที่มีความแม่นยำ เจ็บน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว ข้อดีของการรักษาด้วย RFA: • เจ็บน้อยและฟื้นตัวเร็ว • ลดการเสียเลือด • ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ • ไม่ต้องพักฟื้นนาน ราคาแพ็คเกจ 99,000 บาท รวม ค่าบริการทุกอย่างและพักฟื้น 1 คืน ในโรงพยาบาล ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาด้วย RFA ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี และก้าวสู่การรักษาที่ทันสมัย ฟื้นตัวเร็ว โทรศัพท์ 039-319888 หรือนัดหมายแพทย์ออนไลน์ได้ที่ https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php #โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี #RFA #รักษาริดสีดวง #ศูนย์ศัลยกรรมโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี