อหิวาต์ (Cholera)

อหิวาต์ (Cholera)

อหิวาต์ หรืออหิวาตกโรค เป็นโรคท้องเสียที่มีอาการรุนแรง และระบาดได้รวดเร็ว ในอดีตเคยมีการระบาดของโรคนี้จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงถูกเรียกว่า “โรคห่า” ในปัจจุบันความรุนแรงของโรคลดลง ระบาดน้อยลง โรคนี้มักพบในช่วงฤดูร้อน และพบในชุมชนที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี

สาเหตุ

เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเชื้อมีอยู่ 2 ชนิด ดังนี้

  1. เชื้อชนิดร้ายแรง ได้แก่ วิบริโอ คอเลอรา (Vibrio cholerae)

  2. เชื้อชนิดอ่อน ได้แก่ เอลทอร์ (EL Tor)

โดยเชื้ออหิวาต์เหล่านี้จะปล่อยสารพิษ (Toxin) ทำให้เกิดอาการท้องร่วง ซึ่งเชื้อมีระยะฟักตัว 1-5 วัน (เฉลี่ยประมาณ 1-2 วัน)

อาการ

เกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการท้องเสียถ่ายเหลวอย่างรุนแรง อุจจาระมักจะไหลพุ่งโดยไม่มีอาการปวดท้อง และมีอาเจียนโดยที่ไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน อุจจาระเหมือนน้ำซาวข้าว

ในรายที่เป็นรุนแรง จะมีอาการขาดน้ำรุนแรง และช็อกอย่างรวดเร็ว อาจจะมีเสียงแหบแห้ง เป็นตะคริว ตัวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว ความดันต่ำ ไม่มีไข้ หากรักษาไม่ทันผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้ในเวลาสั้น ๆ

ในรายที่เกิดจากเชื้ออหิวาต์อย่างอ่อน หรือเชื้อเอลทอร์ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวบ่อยครั้งคล้ายโรคท้องเสีย มักจะหายใน 1-5 วัน

การรักษา

หากอาการท้องเสียรุนแรง ซึ่งชวนสงสัยว่าเป็นอหิวาต์ แพทย์จะพิจารณาเก็บอุจจาระส่งเพาะเชื้อ ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ(ให้น้ำเกลือ) รับประทานยาฆ่าเชื้อตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เมื่อรักษาได้ทันการณ์ มักจะหายขาดภายในไม่กี่วัน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด อันตรายมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาช้าเกินการณ์คือ ปล่อยให้มีภาวะขาดน้ำรุนแรง

การป้องกัน

  1. รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม

  2. ดื่มน้ำสะอาด

  3. สำหรับผู้ป่วยโรคนี้ ควรนำอาเจียนและอุจจาระของผู้ป่วยไปเทใส่ส้วมหรือฝังดินให้มิดชิด ห้ามเทตามพื้นหรือลงแม่น้ำลำคลอง ส่วนเสื้อผ้าของผู้ป่วยที่แปดเปื้อนเชื้อควรนำไปฝังหรือเผาเสีย ห้ามนำไปซักในแม่น้ำลำคลอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นในชุมชน

  4. อาจมีการเก็บอุจจาระของคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยส่งตรวจหาเชื้อ หากมีการติดเชื้อจะได้ทำการรักษาทันท่วงที

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี

ลำไส้อักเสบ ไม่รักษาเสี่ยงมะเร็งลำไส้

ลำไส้อักเสบ ไม่รักษาเสี่ยงมะเร็งลำไส้

หนึ่งในปัจจัยการก่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ กว่า 20 เท่าคือ “โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง” ที่ส่วนมากผู้ป่วยมักไม่จริงจังกับการรักษาและปล่อยให้หายเองเนื่องจากอาการไม่รุนแรงกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งแล้วก็สายเกินแก้ เช็ก 8 สัญญาณและอาการเรื้อรังก่อนลุกลามเป็นมะเร็งลำไส้ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease-IBD) เป็นกลุ่มโรคของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดแผลและมีเลือดออกบริเวณระบบทางเดินอาหาร รวมถึงทำให้ลำไส้บีบตัวเร็วขึ้น ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง ท้องร่วงอย่างรุนแรง อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ จะจำกัดอยู่เพียงบริเวณลำไส้ใหญ่ มักเกิดกับผู้ที่มีอายุ 15-35 ปี โรคโครห์น อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหารส่วนใดก็ได้ ตั้งแต่ปากไปจนถึงทวารหนัก ปกติมักเกิดที่ลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น มักพบในผู้ที่มีอายุระหว่าง 20 – 30 ปี สาเหตุของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แพทย์และผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าอาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ มีการสร้างเม็ดเลือดขาวในเยื่อบุทางเดินอาหารมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ ขณะที่พันธุกรรมก็อาจเป็นอีกสาเหตุสำคัญเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติถึง 20%ซึ่งโรคโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง มักมีแนวโน้มจะเกิดในชาวตะวันตกมากกว่าชาวตะวันออก แต่ปัจจุบันคนไทยและชาวเอเชียมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป มีการรับประทานอาหารแบบตะวันตกมากขึ้น จึงพบการเกิดโรคมากขึ้น อาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ปวดเกร็งช่องท้อง ท้องเสีย มีตั้งแต่ถ่ายเพียงไม่กี่ครั้งไปจนถึงถ่ายบ่อยมากตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่มีมูกเลือดปะปน เป็นไข้ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด โลหิตจาง อาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดตามข้อต่อ การมองเห็นผิดปกติ หรือมีแผลในปาก โดยอาการเหล่านี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นปีและกลับมาเป็นซ้ำอีก โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังปล่อยไว้อาจกลายเป็นมะเร็งลำไส้ได้ ? เป็นเรื่องจริง เพราะ ลำไส้อักเสบอาจมีอาการไม่รุนแรง มักเป็นๆ หายๆ จนผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจ และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พบแพทย์ หากเกิดภาวะอักเสบต่อเนื่องและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากสูญเสียเกลือแร่ สารอาหาร และเลือดออกไปกับอุจจาระจำนวนมาก รวมถึงส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางและอาการแทรกซ้อนอื่นๆ จนมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ในที่สุดซึ่งเพิ่มมากกว่าคนปกติถึง 2-20 เท่า การวินิจฉัยโรคลำไส้อักเสบ เนื่องจากโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังมีอาการคล้ายโรคทางเดินอาหารอื่นๆ การวินิจฉัยที่ชัดเจนจำเป็นต้องมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการแยกวินิจฉัยโรค ดังนี้การตรวจร่างกาย โดยเน้นการตรวจบริเวณช่องท้องและทวารหนักส่งตรวจตัวอย่างเลือดและอุจจาระตรวจนับเม็ดเลือด เพื่อช่วยให้ทราบว่าผู้ป่วยสูญเสียเลือดระหว่างการขับถ่าย หรือมีภาวะโลหิตจางเอกซเรย์ลำไส้เล็ก หลังจากดื่มแบเรียม ซึ่งเป็นสารละลายที่ช่วยให้มองเห็นความผิดปกติในลำไส้เล็ก การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) การรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ดูแลอาหารและโภชนาการ ยังไม่พบว่าอาหารชนิดใดที่สามารถรักษาหรือมีผลทำให้โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังแย่ลง แต่การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้ในช่วงที่มีอาการ แนะนำให้รับประทานอาหารปริมาณน้อยตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำให้พอเพียง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง งดดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน รับประทานยา เพื่อให้เยื่อบุลำไส้คืนสู่สภาพปกติ ผู้ป่วยควรรับประทานยาสม่ำเสมอและพบแพทย์ตามนัด เพื่อควบคุมอาการไม่ให้กลับเป็นซ้ำ ผ่าตัด กรณีที่ใช้ยารักษาแล้วแต่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือผู้ป่วยที่มีเลือดออกมาก แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัด ส่วนใหญ่ในผู้ป่วยลำไส้อักเสบสามารถรักษาหายขาด แต่ไม่แนะนำในผู้ป่วยโรคโครห์น เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ทั้งในลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยเรื้อรังที่เกิดพังผืดในลำไส้ จนเกิดภาวะลำไส้ตีบ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะขาดอาหาร แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเป็นกรณีพิเศษ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ท้องผูกเป็นปกติ 1ใน 5 สัญญาณเสี่ยง“มะเร็งลำไส้”

ท้องผูกเป็นปกติ 1ใน 5 สัญญาณเสี่ยง“มะเร็งลำไส้”

ท้องผูกเป็นปกติ 1ใน 5 สัญญาณเสี่ยง“มะเร็งลำไส้”ที่ไม่ควรมองข้าม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตอันดับ 3 ภัยเงียบที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันซึ่งสัญญาณของโรคมักเป็นอาการเล็กๆน้อยๆ จนผู้ป่วยส่วยใหญ่ไม่ทันได้สังเกตรู้ตัวอีกทีก็ป่วยโรคร้ายซะแล้ว แต่หากลองลองสังเกตดีๆ จะมีสัญญาณเตือนส่งมาเป็นระยะ อะไรคือสัญญาณเตือนที่พึงระวังมะเร็งลำไส้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ แน่นอนว่าเหมือนมะเร็งทุกชนิดที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เกิดจากเป็นความผิดปกติของเซลล์ ที่ก่อตัวเป็นมะเร็งบริเวณลำไส้ใหญ่ มีความยาวเฉลี่ย 150 - 180 เซนติเมตร เกิดได้ตั้งแต่ส่วนต้นที่ติดกับลำไส้เล็ก ส่วนกลางลำไส้ ไปจนถึงส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ที่อยู่ติดกับทวารหนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ เช่น มีติ่งเนื้อเล็กๆ เกิดขึ้นภายในลำไส้ นั้นหมายความว่าหากตรวจพบติ่งเนื้อเร็วก็สามารถรักษาหายได้ทันท่วงที 5 สัญญาณผิดปกติ ควรคำนึงถึง“มะเร็งลำไส้ใหญ่” คนในครอบครัวมีประวัติมะเร็งลำไส้ หากเป็นเช่นนั้นเราก็อาจมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้มากกว่าคนปกติ 2 ใน 3 แต่ก็ไม่เสมอไปทั้งหมด เราสามารถเลี่ยงได้ด้วยการดูแลควบคุมตัวเองอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามทานอาหารที่ช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ไม่ปล่อยให้ท้องผูกเป็นระยะเวลานานๆ เลี่ยงอาหารปิ้ง ย่าง ทอด หรือมีไขมันสูง และควรหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี พร้อมตรวจหาความเสี่ยงโรคมะเร็ง อย่างน้อยปีละ 1ครั้ง คนที่ท้องผูกเป็นปกติ อีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของคนที่เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลายๆ คนคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะแค่ท้องผูกเอง หากนานๆ เป็นทีก็คงไม่เป็นอะไร แต่คนที่มีอาการท้องผูกติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ก็แปลว่าระบบขับถ่ายไม่ดี แสดงว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างขึ้นที่บริเวณลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน ถ้าลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและดื่มน้ำให้มากขึ้นแล้ว แต่ยังท้องผูกต่อเนื่อง หรืออาการไม่ดีขึ้นเลย ก็ควรจะรีบปรึกษาแพทย์ ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือดปะปน เป็นหนึ่งเหตุผลที่ควรใส่ใจเวลาขับถ่ายก็ต้องหมั่นคอยสังเกต เพราะจะช่วยให้เราทราบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ หากใครที่ขับถ่ายแล้วมีมูกเลือดปนออกมาด้วยบ่อย ๆ แสดงว่าเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว และลองสังเกตต่อไปหากอุจจาระมีขนาดเล็กผิดปกติ ก็ควรปรึกษาและบอกอาการที่เกิดขึ้นกับแพทย์ เพื่อช่วยค้นหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป น้ำหนักลดลงทั้งที่กินอาหารเท่าเดิม หนึ่งอาการที่แสดงออกมาทางร่างกาย แต่หลายคนอาจจะคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่กินเท่าเดิมแต่น้ำหนักกลับลดลง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำถ้าร่างกายปกติดี หากช่วงนั้นเรารับประทานอาหารเท่าเดิม ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเป็นพิเศษ แต่น้ำหนักกลับลดฮวบฮาบ หรือลดลงผิดปกติ ก็เป็นอาการอย่างหนึ่งที่บอกถึงความผิดปกติของร่างกาย ที่เราควรรีบพบแพทย์เป็นการด่วน ระบบขับถ่ายผิดปกติ เดี๋ยวท้องผูก เดี๋ยวท้องเสีย อีกหนึ่งอาการที่สังเกตได้ของคนที่เป็นมะเร็งลำไส้ในระยะเริ่มต้น ซึ่งมักจะมีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกแบบที่เป็นเรื้อรังไม่หายขาดสักที หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เลือกกินแต่อาหารปรุงสุกใหม่แล้วยังท้องเสีย แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบขับถ่ายอย่างแน่นอน จะเห็นได้ว่าสัญญาณเหล่านี้ไม่ควรมองข้ามและควรรู้เอาไว้ เพราะหากรู้ทันไม่ใช่แค่มะเร็งลำไส้ แต่ยังหลายรวมถึงโรคภัยอื่นๆด้วยที่สำคัญการป้องกันที่ดีที่สุดคือการกินอาหารอย่างถูกหลักอนามัย ลดอาหารลดจัด แปรรูป ปิ้งย่าง เพิ่มไฟเบอร์ผักใบเขียวเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย แน่นอนว่าสุขภาพกายคุณจะดีวันดีคืน ห่างไกลโรคภัยแน่นอนค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ไฟโบรสแกน

ไฟโบรสแกน

ไฟโบรสแกน คืออะไร? เป็นเทคโนโลยีใหม่ลาสุดในการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยไม่เกิดความเจ็บปวดใดๆ กับร่างกาย และลดอัตราความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เมื่อเทียบจากการเจาะตับ (liver biopsy) หลักการทำงานของเครื่อง ไฟโบรสแกน เครื่อง ไฟโบรสแกน ใช้หลักการปล่อยคลื่นความถี่ต่ำที่ 50 เฮิรตซ์ ด้วยเทคนิค VCTETM (Vibration Controlled Transient Elastograply) เข้าไปในตับแล้ววัดคลื่นที่สะท้อนกลับมาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงต่ำ จากนั้นเครื่องจะประมวลผลออกมา เป็นค่าความแข็งเนื้อตับ หากตับเริ่มแข็ง คลื่นเสียงสะท้อนกลับจะเดินทางเร็ว ค่าที่วัดได้ก็จะสูงตาม มีหน่วยวัดเป็น กิโลพาสคาล(kPa) ส่วนการวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ สามารถวัดได้โดยมีชื่อเรียกวิธีนี้ว่า CAP(Controlled Attenuation Parameter) ใช้หลักการปล่อยคลื่นเสียงความถี่ต่ำเข้าไปในเนื้อตับ และวัดค่าความต้านทานนั้นๆ หากตับมีปริมาณไขมันสะสมมาก ก็จะมีแรงต้านทานมาก ค่าที่ใด้ก็จะสูงตามมีหน่วยวัดเป็น เดซิเบล/เมตร(dB/m) ตับส่งสัญญาณว่าคุณควรพบแพทย์ ตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย อาหารไม่ย่อย มีประวัติการดื่มสุราเรื้อรัง มีประวัติว่าคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับ เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัส ตับอักเสบ B และไวรัสตับอักเสบ C ข้อดีของการตรวจไฟโบรสเกน ไม่เกิดความเจ็บปวด และไม่เป็นอันตรายใดๆ กับร่างกาย ง่าย รวดเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาที ทราบผลทันที จะรู้สึกสั่นสะเทือนบริเวณผิวหนังที่ปลายหัวตรวจเล็กน้อย ในกรณีที่ต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด สามารถตรวจซ้ำได้หลายครั้งและปลอดภัย วิธีการตรวจไฟโบรสแกน ให้นอนหงายโดยยกแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศรีษะ ทาเจลที่หัวตรวจหรือผิวหนังคนไข้เพียงเล็กน้อย ทำการตรวจวัดที่บริเวณตำแหน่งตรงกลางเนื้อตับทั้งหมด 10 ครั้งในจุดเดียวกัน ผลที่ได้เป็น ค่าความแข็งของตับ เป็นตัวเลข ตั้งแต่ 1.5-75 กิโลพาสคาล และค่าปริมาณไขมันสะสมในตับเป็นตัวเลข ตั้งแต่ 100-400 เดซิเบล/เมตร ซึ่งแพทย์จะแปลผลที่ได้เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ ตรวจ ไฟโบรสแกน เพื่ออะไร? ผลตรวจไฟโบรสแกนสามารถช่วยในการติดตามผลการดำเนินโรค และประเมินระดับความรุ่นแรงของภาวะตับแข็ง เพื่อดูผลการตอบสนองการรักษาและวางแผนการรักษาต่อไป โดยอาจใช้แทนการเจาะเนื้อตับในผู้ป่วยที่มีข้อห้ามหรือปฏิเสธการเจาะตับ ใครเป็นผู้ตรวจ ไฟโบรสแกน? แพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับหรือบุคลากรที่ได้รับการอบรมจะเป็นผู้ตรวจไฟโบรสแกนได้ดีที่สุด ข้อห้ามในการตรวจ ไฟโบรสแกน ไม่ตรวจในอวัยวะอื่นๆ นอกจากตับ ผู้ป่วยที่ติดอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น pacemekers, defibrillators ผู้ที่มีภาวะท้องมาน หญิงตั้งครรภ์ ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่เจ็บ ทราบผลทันที!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โทร. 0-3931-9888

กระเพาะอักเสบ (Gastritis)

กระเพาะอักเสบ (Gastritis)

กระเพาะอักเสบ (Gastritis) กระเพาะอักเสบ หมายถึงการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง กระเพาะอักเสบเฉียบพลัน (Acute gastritis) มักมีอาการเกิดขึ้นรวดเร็วและหายได้รวดเร็ว สาเหตุมีได้หลายอย่าง เช่น การกินยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน หรือยาแก้ปวดข้อ การดื่มสุรา การรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด หรือเกิดจากพิษของเชื้อโรค๖อาหารเป็นพิษ) โรคติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด ตับอักเสบ) หรือแพ้ยาแพ้อาหาร เป็นต้น โรคนี้เกิดในคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ใช้ยาแอสไพริน หรือยาชุดแก้ปวดข้อปวดหลังเป็นประจำ ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรง ส่วนน้อยที่อาจมีเลือกออกในกระเพาะ (อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ) ซึ่งอาจรุนแรงจนช็อกได้ กระเพาะอักเสบเรื้อรัง (Chronic gastritis) มักมีอาการเรื้อรัง สาเหตุมีได้หลายอย่าง เช่น เกิดจากการดื่มสุรา การรับประทานยาแก้ปวด แอสไพริน หรือยาแก้ปวดข้อ หรือเกิดจากน้ำดีขย้อนจากลำไส้เล็กเข้าไปในกระเพาะอาหาร เป็นต้น บางรายเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับพันธุกรรม หรือความเครียดทางจิตใจ บางรายอาจมีความสัมพันธ์กับมะเร็งของกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในรายที่เป็นกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังชนิดที่เยื่อบุกระเพาะมีลักษณะบางลง (Atrophic gastritis) ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยชนิดนี้อาจทำให้เกิดมะเร็งของกระเพาะอาหารตามมาภายหลังได้ อาการ กระเพาะอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เสียดแน่นตรงลิ้นปี่ บางรายอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน เป็นไข้ ปวดศีรษะคล้ายอาหารเป็นพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดจากพิษของเชื้อโรค ในรายที่เป็นรุนแรง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสุราหรือยาแก้ปวด) อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือดสดหรือสีดำออกมากจนซีด หรือช็อก (เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันตก) ในเวลารวดเร็ว กระเพาะอักเสบเรื้อรัง ส่วนมากจะไม่แสดงอาการผิดปกติ ในรายที่มีอาการปรากฏ อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เสียดแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ เรอเปรี้ยว หรือมีอาการปวดแสบท้องเวลาหิวหรืออิ่มจัด คล้ายอาการของโรคกระเพาะ บางรายอาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำและอาจมีอาการซีดร่วมด้วย การรักษา กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน ถ้าอาการไม่รุนแรง ให้งดน้ำงดอาหารจนอาการดีขึ้น ระหว่างนี้อาจให้น้ำเกลือ เมื่ออาการดีขึ้นให้รับประทานอหารพวกน้ำ ๆ ก่อนแล้วค่อยให้อาหารเหลวที่ย่อยง่าย แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดกรด ยากล่อมประสาท และยาตามอาการ เช่น ยาแก้อาเจียน ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ควรงดสุรา และยาแก้ปวด ส่วนมากมักจะหายได้ภายใน 1-7 วัน ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือช็อก ควรส่งโรงพยาบาลด่วน ควรให้น้ำเกลือไประหว่างทางด้วย อาจต้องให้เลือดและทำการล้างกระเพาะด้วยน้ำเย็น โดยใส่ท่อผ่านทางจมูกเข้าไปในกระเพาะ ในรายที่เป็นรุนแรง เลือดออกไม่หยุด อาจต้องผ่าตัด กระเพาะอักเสบเรื้อรัง ให้ยาลดกรด ยากล่อมประสาท แนะนำงดสุรา ยาแก้ปวด แอสไพริน ยาแก้ปวดข้อ บุหรี่ กาแฟ อาหารรสจัด หากมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว แพทย์อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้เลือด หากพบในอายุน้อยกว่า 50 ปี หรือมีอาการน้ำหนักลด ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาลอาจต้องเอ็กซเรย์ ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (Endoscope) ตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ (Biopsy) เพื่อวินิจฉัยสาเหตุให้แน่ชัด ถ้ากระเพาะอักเสบเรื้อรัง ก็ให้การรักษาตามอาการ ข้อแนะนำ โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการดืมสุรา หลีกเลี่ยงรับประทานยาแอสไพริน หรือยาแก้ปวดข้อเป็นประจำ (หากต้องใช้ยาเหล่านี้ จำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์) กระเพาะอักเสบเรื้อรังอาจมีอาการคล้ายโรคกระเพาะจนแยกจากลักษณะอาการไม่ได้ อาจต้องวินิจฉัยจากเอ็กซเรย์ (กลืนแป้งแบเรียม) หรือไม่ส่องกล้องตรวจกระเพาะลำไส้ โรคกระเพาะจะต้องตรวจพบแผล ถ้าไม่พบมักจะเป็นกระเพาะอักเสบเรื้อรัง ในรายที่กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง การกินยาอาจเพียงช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราวไม่หายขาด ควรแนะนำให้ออกกำลังกาย (เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน) เป็นประจำ และหาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ อาจช่วยให้ดีขึ้นได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ท้องเสีย (Diarrhea / Gastroenteritis)

ท้องเสีย (Diarrhea / Gastroenteritis)

ท้องเสีย (Diarrhea / Gastroenteritis) ท้องเสีย หรือที่หลายท่านเรียก ท้องร่วง ท้องเดิน นั้น หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเหลวมากกว่าวัลละ 3 ครั้ง แต่หากมีมูกหรือมีมูกปนเลือดเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าเป็นท้องเสีย ท้องเสียมีสาเหตุหลายประการ ดังนี้ การติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส สารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร สารเคมี เช่น สารตะกั่ว สารหนู ไนเทรต ยาฆ่าแมลง ยา เช่น ยาถ่าย , แอมพิซิลิน , เตตราซัยคลีน พีเอเอส พืชพิษ เช่น เห็ดพิษ , กลอย ภาวะแทรกซ้อนสำคัญเมื่อท้องเสีย ภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อก , ภาวะเลือดเป็นกรด , ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ , ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ เป็นอันตรายถึงตายได้ การรักษา ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว น้ำหวาน ให้น้ำเกลือ เพื่อเพิ่มสารน้ำในร่างกาย ป้องกันภาวะขาดสารน้ำ ให้ยารักษาอาการท้องเสีย ซึ่งจะใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดโทษได้ จึงจำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาการให้ยาเท่านั้น ให้ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ การป้องกัน ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง รับประทานอาหารสุก สะอาด และดื่มน้ำที่สะอาดเสมอ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888