หัวใจเต้นผิดจังหวะ

หัวใจเต้นผิดจังหวะ

หัวใจเต้นผิดจังหวะ คือ การที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามปกติ โดยอาจเต้นเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลต่อความสม่ำเสมอและอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้การสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายมีประสิทธิภาพลดล อาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยมีภาวะภาวะหัวใจล้มเหลวได้

อาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย
  • เจ็บแน่นบริเวณหน้าอก ใจสั่น
  • หายใจไม่สะดวก
  • เป็นลม หมดสติ

การตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • การซักประวัติอสุขภาพ และพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ตรวจร่างกาย
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(EKG & ECG) เป็นเครื่องมือตรวจพิเศษช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติของหัวใจเบื้องต้น ที่ไม่เสียเวลาและไม่ต้องเจ็บตัว
  • การวัดสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) เพื่อทดสอบความทนของหัวใจขณะออกกำลังกาย ทำให้สามารถประเมินโอกาสเสี่ยงในการเกิดคววามผิดปกติที่อาจจะมีต่อหัวใจขณะออกแรง
  • การติดเครื่องบันทึกคลื่นหัวใจไว้ที่ตัวผู้ป่วยเป็นเวลา 24 หรือ 48 ชั่วโมง (Holter monitoring test) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการบ่อยแต่ไม่ได้เป็นตลอดเวลา
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหรือเอคโค(Echocardiogram) เพื่อดูการทำงาน โครงสร้าง และความผิดปกติของหัวใจ
  • การตรวจระบบการนำไฟฟ้าภายในหัวใจ (cardiac electrophysiology study)

การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แพทย์จะพิจารณาตามสาเหตุ อาการ ตำแหน่ง และความรุนแรงของโรค โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจไม่ต้องทำการรักษา แต่ในบางชนิดที่ต้องทำการรักษาตามแนวทางของแพทย์ต่อไป

การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเครียด การสูบบุหรี่
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน
  • ตรวจสุขภาพและพบแพทย์สม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) การตรวจ ECHO หัวใจ (Echocardiogram หรือ Echocardiography) เป็นการตรวจการทำงานของหัวใจ เช่น ขนาดของห้องภายในหัวใจ การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ ภาวะน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ ช่องหัวใจโต และตรวจหาภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการเหนื่อยง่าย หรือแน่นหน้าอก และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่างๆ ที่คอยสูบฉีดเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงเซลล์และอวัยวะต่างๆ ด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง คำแนะนำสำหรับผู้รับการตรวจ 1. ควรมาถึงก้อนเวลานัด 15 นาที พร้อมยื่นใบนัดที่แผนกเวชระเบียน 2. ใช้เวลาในการตรวจพิเศษ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นตอนต่างๆจะแจ้งให้ทราบก่อนเริ่มการทดสอบ 3. ควรพักผ่อนให้เพียงพอช่วงก่อนวันนัด หากผู้ป่วยมีไข้ อ่อนเพลีย หรืออาการกำเริบ โปรดสอบถามแพทย์หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ 4. ไม่ต้องงดน้ำไม่ต้องงดอาหารและไม่ต้องงดยา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

คนบ้างาน-เครียด เสี่ยงหัวใจขาดเลือด

คนบ้างาน-เครียด เสี่ยงหัวใจขาดเลือด

ความเครียด นับเป็นจุดเริ่มต้นของหลากหลายโรค หนึ่งในนั้นคือปัจจัยที่ทำให้กลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจสูงขึ้น หนึ่งในนั้นคือโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งหัวใจขาดเลือด คือ ภาวะที่มีเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ซึ่งพอหัวใจขาดเลือดมากๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็จะส่งผลให้ ‘กล้ามเนื้อหัวใจตาย’ เป็นเหตุให้การทำงานของหัวใจล้มเหลว หรือที่เรียกว่า หัวใจวาย มี น้ำท่วมปอด จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด โดยสาเหตุสำคัญคืดภาวะ ‘หลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน’ที่ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านไปยังหัวใจได้เพียงพอนั้นเอง ใครบ้างที่เสี่ยงหัวใจขาดเลือด? ผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ผู้ที่มีความเครียดสะสมเรื้อรัง ผู้ชายที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ผู้หญิงที่อายุ 55 ปีขึ้นไป หรือหลังวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจขาดเลือด สัญญาณเตือนหัวใจขาดเลือด ที่ต้องรีบพบแพทย์ เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อย ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม รู้สึกอึดอัด หายใจไม่เต็มอิ่ม หายใจไม่สะดวก ความเครียดสะสม ทำร้ายหลอดเลือดหัวใจ ภาวะเครียดสะสม ทำให้ร่างกายหลังฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างน้ำตาลและนำไขมันออกมาเผาผลาญเป็นพลังงานมากขึ้น ขณะเดียวกันยังหลั่งสารอะดรีนาลีน และคอร์ติซอลออกมา ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลเสียต่อหลอดเลือดหัวใจทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรังเมื่อระบบต่างๆ ของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดพัก สุดท้ายก็เกิดสารพัดโรคตามมา และไม่ใช่แค่โรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ยังรวมไปถึงโรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ ได้ด้วย หากเริ่มมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือน เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อย ใจสั่น หน้ามืด เป็นลม อย่ารีรอ! ให้รีบพบแพทย์ หรือเรียกรถพยาบาลในทันทีเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะต่างๆ ที่อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หลังฉีดวัคซีนกลุ่ม mRNA ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็น 1 ในอาการไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดวัคซีนเชื้อเป็น (mRNA) ข้อมูลปัจจุบันพบเพียง 1 พันคนเท่านั้น พบมากในในวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ฉีดเข็มกระตุ้นที่ 2 หากพบอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) คือ ภาวะที่ส่งผลต่อสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจและอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ (arrhythmia) นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดและหมุนเวียนออกซิเจน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีนแต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่ากลไกการเกิดโรคเกิดจากอะไร ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค และพันธมิตรกำลังติดตามรายงานเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบการฉีดวัคซีน COVID-19 หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 (Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) โดยเฉพาะในวัยรุ่นชายและวัยหนุ่มสาว พบได้มากขึ้นในการรับวัคซีนเข็มที่สอง ส่วนมากมีอาการไม่กี่วันหลังจากฉีดวัคซีน หากมีอาหารเหล่านี้ หลังการฉีดวัคซีน COVID-19ภายในหนึ่งสัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ยังควรฉีดวัคซีนให้ตัวเองหรือลูกหรือไม่? ทางการแพทย์ยืนยันว่า “ยังควรฉีด” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังคงแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเจ็บป่วยจาก COVID-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิต นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับการรักษา ส่วนใหญ่มักมีการตอบสนองต่อยาได้ดี และอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันตามปกติได้หลังจากที่อาการดีขึ้น ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบควรปรึกษากับแพทย์โรคหัวใจ เกี่ยวกับการกลับไปออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่หายเป็นปกติหลังจากได้รับการรักษาและพักผ่อน ผู้เชี่ยวชาญกำลังติดตามผลข้างเคียงแต่ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบว่าสาเหตุและผลกระทบในระยะยาวคืออะไร อาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เจ็บหน้าอก หายใจหอบ รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นแรง หากมีอาหารเหล่านี้ หลังการฉีดวัคซีน COVID-19ภายในหนึ่งสัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ยังควรฉีดวัคซีนให้ตัวเองหรือลูกหรือไม่? ทางการแพทย์ยืนยันว่า “ยังควรฉีด” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังคงแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเจ็บป่วยจาก COVID-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิต นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ สาเหตุภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือปฏิกิริยาของยา เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และทารก ในความเป็นจริง มีแนวโน้มที่จะภาวะนี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีที่มีสุขภาพแข็งแรง และในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ2เท่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีตั้งแต่อาการน้อยถึงรุนแรง ยังส่งผลต่อเด็กแตกต่างกันในกรณีที่ไม่รุนแรง มีอาการดังต่อไปนี้ เจ็บหน้าอก หายใจถี่ ใจสั่น ขณะที่ในกรณีที่รุนแรงและควรพบแพทย์โดยด่วน เจ็บหน้าอก จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติหรือเต้นผิดปกติ หายใจถี่ ขณะพัก หรือระหว่างทำกิจกรรม อาการบวมที่ขา ข้อเท้า และเท้า ความเหนื่อยล้า อาการอื่นๆ อาจเป็นส่วนหนึ่งของการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย ปวดข้อ มีไข้ เจ็บคอ หรือท้องร่วง อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็ก ได้แก่ ไข้ เป็นลม หายใจลำบาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ให้แจ้งแพทย์ของคุณ หากเป็นเรื่องฉุกเฉิน โทร 1669 หรือไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการรักษาที่เหมาะสม การฟื้นตัวเต็มที่ และการป้องกันปัญหาหัวใจในระยะยาว แพทย์ของคุณอาจทำการตรวจร่างกายและถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ แพทย์อาจทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ภาพถ่ายทางรังสี และการตรวจเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ เพื่อยืนยันว่าอาการรุนแรงเพียงใด แนวทางการรักษากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปกติภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะดีขึ้นเองและคุณฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ในบางกรณีคุณอาจต้องได้รับการรักษา เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยาต้านไวรัส หากคุณเคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนัก เช่น เล่นกีฬาเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ปรึกษากับแพทย์ของคุณก่อนที่จะกลับไปออกกำลังกายตามปกติหรือเล่นกีฬา ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ” กรมการแพทย์ ระบุว่า ภาวะวูบหมดสติ (Syncope) เป็นอาการสูญเสีย ความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วขณะ ทำให้สมองขาดออกซิเจนชั่วคราวจะมีลักษณะอาการเฉพาะ คือ หมดสติเฉียบพลัน เกิดขึ้นชั่วขณะในระยะเวลาอันสั้น และสามารถฟื้นคืนสติ ได้เองจะแสดงออกทางอาการหลากหลาย เช่น เรียกไม่รู้สึกตัว ล้มลงกับพื้น ทรงตัวไม่อยู่ อาจมีอาการเกร็งที่มือ เท้า ตาค้างชั่วขณะ เหงื่อออกที่ใบหน้า ผู้ป่วยจะจำเหตุการณ์ตอน หมดสติไม่ได้ โดยจะมีระยะเวลาการหมดสติ ตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที ขึ้นกับสุขภาพพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย ขณะที่ผู้ป่วยบางราย อาจจะมีอาการนำมาก่อนเกิดอาการวูบหมดสติ เช่น รู้สึกหวิว ๆ มึนศีรษะ โคลงเคลง ตาพร่า หรือเห็นแสงแวบวาบ ปลายมือ ปลายเท้าเย็น คลื่นไส้ เป็นต้น อาการวูบไม่รู้ตัวเป็นเรื่องที่ อันตรายมากโดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานบนที่สูง หรือผู้ที่ ต้องขับรถ หากมีอาการวูบบ่อย ๆ ควรพบแพทย์ประเมิน หาสาเหตุ สาเหตุของภาวะวูบหมดสติ เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ เกิดจาก ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ซึ่งมักพบตามหลังสถานการณ์เฉพาะบางอย่าง เช่น หลังไอ จาม เบ่ง ยืนนานๆ ในที่แออัด หรืออากาศร้อน กลัวการเจาะเลือด เป็นต้น เกิดจากการเสียเลือด หรือขาดน้ำ เช่น ท้องเสียรุนแรง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายใน เกิดจากยาบางชนิด โดยเฉพาะยาลดความดันโลหิตสูง ยารักษาต่อมลูกหมาก ยาต้านอาการซึมเศร้า หรือแม้แต่ยาเบาหวาน สิ่งที่เป็นอันตราย เป็นอาการสูญเสียความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง จะส่งผลให้เกิดอันตราย เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนนหรือขณะทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น โดยเฉพาะบางอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พนักงานขับรถ นักบิน นักประดาน้ำ คนงานก่อสร้าง ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำเติมจากการภาวะวูบได้ ในผู้สูงอายุพบมากถึง 23% พบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ในคนทั่วไป 3% ผู้ที่เคยมีอาการวูบหมดสติมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีกถึง 1 ใน 3 เท่า อาการวูบที่ควรพบแพทย์ วูบแล้วหมดสติ-ชัก มีอาการหน้าเบี้ยวร่วมด้วย หัวใจเต้นผิดปกติ หรือในผู้สูงอายุรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว สำหรับสิ่งที่ควรต้องระวัง คือ หลังจากผู้ป่วยตื่นขึ้นมาอาจมีอาการ บาดเจ็บได้ การรักษาควรจะต้องรักษาที่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แต่ถ้าหากวูบหมดสติตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการ เช่น ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ชา หรืออ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติภาวะทางสมองอาการของหลอดเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมองแตกได้ ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดควรต้องสังเกตอาการวูบที่เกิดขึ้น และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM2.5 นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เปิดเผยว่า PM2.5 นับเป็นสารอนุมูลอิสระ (Free Radical) เช่นเดียวกับบุหรี่ และ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ ตีบ ตัน หรือ โรคทางปอด สัมพันธ์กับปริมาณที่ได้รับอย่ามีนัยยะสำคัญ ซึ่งฝุ่น PM2.5 จะเข้าไปกระตุ้นการเกิดอักเสบของหลอดเลือดและการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย ถ้าปริมาณสูงมากพอและเกิดการสูดดมสะสมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดชัดเจน ผลกระทบจาก PM2.5 แบ่งเป็น 2 อาการ หลอดเลือดเสื่อมสภาพ หนาตัวขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว แข็งขึ้นยืดหยุ่นน้อยลง ส่งผลต่อเกร็ดเลือดทำให้เกิดการสลายลิ่มเลือดยากขึ้น และเกร็ดเลือดเกาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อปัจจัย 2 มาเจอกันก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันนั้นเอง โรคหัวใจจาก ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ ? นพ.ชาติทนง กล่าวว่า การก่อโรคจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับปริมาณที่ได้รับจนเกิดการสะสมในร่างกาย โดยกลุ่มที่เป็นโรคประจำตัว อย่างหอบหืด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ย่อมเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นเนื่องจากมีความเซนซิทีฟสูง อย่างไรก็ตาม คนที่สุขภาพดีก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะหากได้รับในปริมาณสูงมากพอก็จะมีการพัฒนาของหลอดเลือด เพราะล่าสุดเวชศาสตร์การกีฬา ได้ออกมาเตือนว่า ถึงแม้จะเป็นนักกีฬาที่แข็งแรงมากแค่ไหน ถ้าฝุ่น PM2.5 เกิน 50 ไมโครกรัม ควรจะใส่หน้ากากอนามัยออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง นพ.ชาติทนง ยังเปิดเผยว่าขณะนี้แพทย์ทั่วโลกกำลังจะยกระดับ PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงระดับต้นๆ เทียบเท่ากับบุหรี่ ในการจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มีผลอย่างนัยยะสำคัญหรือกระตุ้นโรคประจำตัว สัญญาณเตือนแบบพิษฉับพลันPM2.5 วิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้ เลือดกำเดาไหล ขณะที่การก่อโรคเรื้อรังอย่างเลือดเลือดหัวใจจะเป็นในลักษณะการสะสมโรคจึงมักจะไม่แสดงในระยะแรกๆ การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะสุขภาพของหัวใจ ปัจจุบันมีหลากหลายเทคโนโลยีที่แม่นยำ อาทิ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) ,การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram) หรือการตรวจวัดระดับแคลเซียมบริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Coronary Calcium Score) เพื่อการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม การทำงานของไต ระดับไขมันคอเลสเตอรอล ระดับไขมันความหนาแน่นสูง-ต่ำ และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ให้เราสามารถรู้ทันความเสี่ยง หาพบแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจในอนาคตไม่ว่าจะจากปัจจัยไหนก็ตาม ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

“ความดันโลหิตสูง” กับ "กล้ามเนื้อหัวใจหนา"

“ความดันโลหิตสูง” กับ "กล้ามเนื้อหัวใจหนา"

“ความดันโลหิตสูง” กับ "กล้ามเนื้อหัวใจหนา" หากปล่อยให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงนาน ๆ แล้วไม่รักษา เสี่ยงทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ส่งผลทำให้หัวใจโตและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา กว่า 90% เกิดจากโรคความดันโลหิตสูง ทำให้ความดันในหลอดเลือดแดงสูงขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายทำงานหนักและหนาตัวขึ้น เลือดดีจากปอดและหัวใจห้องบนซ้ายไม่สามารถไหลลงหัวใจห้องล่างซ้ายได้ ส่งผลทำให้หัวใจโตและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด อาการภาวะกล้ามเนื้อหัวใจไม่จำเป็นต้องมีอาการผิดปกติแต่ถ้าหากมีอาการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาการเนื่องจากโรคที่เป็นสาเหตุ หรือผลแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง หรือตามัว เหนื่อยง่ายกว่าปกติ การตรวจภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา แพทย์ผู้รักษา สามารถให้การวินิจฉัยได้ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกายโดยละเอียด โดยเฉพาะการตรวจร่างกายระบบหัวใจและหลอดเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ การรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา การรักษาตามสาเหตุของโรค เช่น ถ้าสาเหตุเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง จะรักษาโดยให้ควบคุมอาหารเค็ม รวมถึงการใช้ยาลดความดันโลหิต โดยต้องรับประทานยาต่อเนื่อง พร้อมติดตามความดันโลหิตเป็นระยะ เพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ และลดผลแทรกซ้อนระยะยาว ค่าความดันปกติ ค่าบนต้องไม่เกิน 120 มิลลิเมตรปรอทและค่าล่างต้องไม่เกิน 80 มิลลิเมตรปรอท ถ้าค่าความดันโลหิตค่าบนมากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอทหรือค่าล่างมากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้หากปล่อยทิ้งไว้หัวใจจะลดลง ทำให้เกิดโรคหัวใจระยะสุดท้ายและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ในที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ