ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

คนไทยป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 432,943 คนต่อปี และมีอัตราการเสียชีวิตถึง 20,855 คน เฉลี่ย 2 คนต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โรคหัวใจ เป็นคำที่มีความหมายกว้าง เนื่องจากโรคหัวใจแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายชนิด ตามตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติ ลักษณะการแสดงอาการ และการติดเชื้อ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจชนิดใดก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจทั้งสิ้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคหัวใจที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ ดังนี้

รคหลอดเลือดหัวใจตีบ-อุดตันตัน จากหลอดเลือดที่เคยมีพื้นผิวที่เรียบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างสะดวก แต่เมื่อเรามีระดับไขมันในเลือดสูง ไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง หรือบางกรณีอาจเกิดจากการมีลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือด ซึ่งทั้ง 2 กรณี ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก มีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขึ้นได้

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจที่ตีบหรืออุดตัน ทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกล้ามเนื้อตายจากการขาดเลือด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาหารเจ็บแน่นหน้าอก ร้าวไปกราม ไปไหล่ และแขน หายใจเหนื่อย วิงเวียน เหงื่อออก ตัวเย็น โดยผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันออกไป อาจจะมีอาการในช่วงที่ออกแรง รู้สึกเครียด หรือหลังจากการรับประทานอาหารมื้อหนัก เมื่อมีอาการควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

โรคหัวใจวาย ภาวะหัวใจวาย เป็นภาวะประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ส่งผลต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกาย นอกจากนี้ภาวะหัวใจวายยังทำให้เกิดน้ำท่วมปอด และไตวายได้อีกด้วย อาการของภาวะหัวใจวาย คือ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ โดยเฉพาะขณะนอนราบ ไอแห้ง นอนหลับยาก มือเท้าบวม

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลต่อความสม่ำเสมอและอัตราการเต้นของหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ


*** โรคหัวใจอาจไม่แสดงอาการใดๆให้ท่านทราบเลยในช่วงแรก การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำจึงมีความสำคัญที่สุด

การตรวจสุขภาพหัวใจ

  1. การซักประวัติและตรวจรางกายโดยแพทย์ เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG & ECG) เป็นเครื่องมือตรวจพิเศษช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติของหัวใจเบื้องต้น ที่ไม่เสียเวลาและไม่ต้องเจ็บตัว
  3. การวัดสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) เพื่อทดสอบความทนของหัวใจขณะออกกำลังกาย ทำให้สามารถประเมินโอกาสเสี่ยงในการเกิดคววามผิดปกติที่อาจจะมีต่อหัวใจขณะออกแรง
  4. การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับของเอนไซม์หัวใจ ว่าอยู่ในยเกณฑ์ของผู้ป่วยหัวใจวายหรือไม่
  5. การอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) เพื่อดูการทำงาน โครงสร้าง และความผิดปกติของหัวใจ
  6. การตรวจ MRI เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหัวใจ โดย ใช้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ ซึ่งสามารถให้ภาพที่ชัดเจนทั้งแนวขวางและ 3 มิติ
  7. การตรวจ MRA เป็นการตรวจหาความผิดปกติของ หลอดเลือด โดยการใช้เครื่อง MRI

การวินิจฉัยด้วยการสวนหัวใจ เป็นการตรวจเอ็กซเรย์ร่วมกับการฉีดสารทึบแสงทางหลอดเลือดเพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ โดยหากพบความผิดปกติที่สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูน ใส่ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือด ผู้ป่วยจะสามารถทำได้ในคราวเดียวกัน ไม่ต้องเจ็บตัวซ้ำ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลนาน

การรักษา

รับประทานยา
รักษาด้วยการสวนหัวใจ
ผ่าตัด

การป้องกัน

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่างเหมาะสม ลดอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง
ควบคุมน้ำหนัก
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ดื่มสุรา และ ไม่สูบบุหรี่
หากมีโรคประจำตัว ต้องดูแลตนเองตามแพทย์แนะนำและรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด


โรคหัวใจเป็นโรคที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสงสัยหรือมีความเสี่ยงควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039 319 888

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จํานวนผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศมีแนวโน้มเพิ่่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งทําให้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก โรคหัวใจ ชนิดหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมากขึ้น คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สาเหตุและอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เกิดจากการตีบแคบ หรืออุดตันในหลอดเลือดโคโรนารีที่นําเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทําให้หัวใจขาดเลือด จึงเกิดอาการต่าง ๆ เช่น จุกแน่น เสียดแสบบริเวณทรวงอก อาจแพร่กระจายไปที่แขน ลําคอ ขากรรไกร กราม หากเป็นมากจะอ่อนเพลีย เหงื่อออก เป็นลม จนถึงเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน ถ้าท่านเจ็บหน้าอก และมีอาการร่วมอื่น ดังกล่าวข้างต้น และหรือเจ็บนานเกิน 15-20 นาที ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที ปัจจัยเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความอ้วน ความเครียด การไม่ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือวัยหลังหมดประจําเดือน ผู้มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หากมีโรคประจำตัว ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง รับประทานผัก ผลไม้และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามกำลังของตนเอง หากออกกำลังกายแล้วมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ เหนื่อยมากจนพูดไม่ออก หายใจสั้นและถี่มาก เมื่อยหรือปวดกล้ามเนื้อ เหงื่อออกมาก ควรหยุดออกกำลังกายและพบแพทย์ทันที จัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด พักผ่อนอย่างเพียงพอ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM2.5 นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เปิดเผยว่า PM2.5 นับเป็นสารอนุมูลอิสระ (Free Radical) เช่นเดียวกับบุหรี่ และ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ ตีบ ตัน หรือ โรคทางปอด สัมพันธ์กับปริมาณที่ได้รับอย่ามีนัยยะสำคัญ ซึ่งฝุ่น PM2.5 จะเข้าไปกระตุ้นการเกิดอักเสบของหลอดเลือดและการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย ถ้าปริมาณสูงมากพอและเกิดการสูดดมสะสมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดชัดเจน ผลกระทบจาก PM2.5 แบ่งเป็น 2 อาการ หลอดเลือดเสื่อมสภาพ หนาตัวขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว แข็งขึ้นยืดหยุ่นน้อยลง ส่งผลต่อเกร็ดเลือดทำให้เกิดการสลายลิ่มเลือดยากขึ้น และเกร็ดเลือดเกาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อปัจจัย 2 มาเจอกันก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันนั้นเอง โรคหัวใจจาก ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ ? นพ.ชาติทนง กล่าวว่า การก่อโรคจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับปริมาณที่ได้รับจนเกิดการสะสมในร่างกาย โดยกลุ่มที่เป็นโรคประจำตัว อย่างหอบหืด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ย่อมเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นเนื่องจากมีความเซนซิทีฟสูง อย่างไรก็ตาม คนที่สุขภาพดีก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะหากได้รับในปริมาณสูงมากพอก็จะมีการพัฒนาของหลอดเลือด เพราะล่าสุดเวชศาสตร์การกีฬา ได้ออกมาเตือนว่า ถึงแม้จะเป็นนักกีฬาที่แข็งแรงมากแค่ไหน ถ้าฝุ่น PM2.5 เกิน 50 ไมโครกรัม ควรจะใส่หน้ากากอนามัยออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง นพ.ชาติทนง ยังเปิดเผยว่าขณะนี้แพทย์ทั่วโลกกำลังจะยกระดับ PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงระดับต้นๆ เทียบเท่ากับบุหรี่ ในการจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มีผลอย่างนัยยะสำคัญหรือกระตุ้นโรคประจำตัว สัญญาณเตือนแบบพิษฉับพลันPM2.5 วิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้ เลือดกำเดาไหล ขณะที่การก่อโรคเรื้อรังอย่างเลือดเลือดหัวใจจะเป็นในลักษณะการสะสมโรคจึงมักจะไม่แสดงในระยะแรกๆ การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะสุขภาพของหัวใจ ปัจจุบันมีหลากหลายเทคโนโลยีที่แม่นยำ อาทิ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) ,การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram) หรือการตรวจวัดระดับแคลเซียมบริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Coronary Calcium Score) เพื่อการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม การทำงานของไต ระดับไขมันคอเลสเตอรอล ระดับไขมันความหนาแน่นสูง-ต่ำ และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ให้เราสามารถรู้ทันความเสี่ยง หาพบแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจในอนาคตไม่ว่าจะจากปัจจัยไหนก็ตาม ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง ลดปัญหาสุขภาพช่องปาก เตือนผู้ป่วยโรคหัวใจควรใส่ใจสุขภาพช่องปากมากกว่าคนทั่วไป หากละเลยเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากปัญหาโรคเหงือกและฟันมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ หากพบว่าในช่องปากมีโรคเหงือก ฟันผุ หรือหนองจากฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน รากฟันอักเสบเป็นหนอง และอาจเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจ ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่หัวใจได้ ปัจจัยเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปาก การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดปัญหากลิ่นปาก โรคปริทันต์อักเสบ การรับประทานของหวาน ของว่างระหว่างมื้อบ่อยๆ อาจทำให้เกิดฟันผุ ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน การเคี้ยวของแข็ง ส่งผลทำให้ฟันบิ่น หรือฟันแตก การรับประทานยาหลายชนิด อาจทำให้เกิดภาวะปากแห้ง การแปรงฟันแรง แปรงฟันไม่ถูกวิธี อาจทำให้ฟันสึก หรือฟันผุ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปากในอนาคต สำหรับข้อควรระวัง และการเตรียมตัวในการทำฟันของผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว ขอใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าสามารถทำฟันได้หรือไม่ รวมถึงข้อควรระวัง ชนิดของโรคหัวใจที่เป็น และยาที่รับประทานอยู่ ต้องแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับชนิดของโรคหัวใจ ยาที่รับประทาน รวมถึงปัญหาที่ผู้ป่วยเคยมีในการทำฟัน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ประจำตัวและทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดในการปรับ หรืองดยาละลายลิ่มเลือด การเจาะเลือดก่อนการทำฟัน การรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนทำฟัน และการปฏิบัติตนภายหลังการทำฟัน ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาใดๆมาเอง หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือทันตแพทย์ วิธีการดูแล และป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากที่ควรปฏิบัติ แปรงฟันอย่างถูกวิธีด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มและยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้ไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณด้านประชิดของฟัน ที่สำคัญทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจและคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงควรพบทันตแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำทุก 6 เดือน หากปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีร่วมกับการดูแลฟันอย่างถูกวิธีตามคำแนะนำของแพทย์ ก็สามารถช่วยลดปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาวลงได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันโรคทรวงอก และ BDMS สถานีสุขภาพ

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น โรคหัวใจ (Heart Disease) หลายคนคงนึกว่าเหมารวมเพียงแต่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เนื่องจากเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในบรรดากลุ่มโรคหัวใจ จากการรายงานสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 พบว่า กลุ่ม "โรคหัวใจ" และหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก หรือประมาณ 17.9 ล้านคน และจากสถิติในประเทศไทย พบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 6 หมื่นรายต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกิดขึ้นกับหัวใจได้อีกมากมาย อาทิ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น รู้หรือไม่ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย อยู่ในภาวะเครียด พักผ่อนน้อย ยิ่งหากใครที่สายปาร์ตี้ด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้นไปอีก ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น โรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง พันธุกรรม สัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เดินเร็วๆ หรือออกกําลังกาย หายใจเข้าลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา เป็นขณะออกกำลังกาย ตอนใช้แรงมากๆ หรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืนขณะพักผ่อน เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก เจ็บหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจหรือทั้ง 2 ข้างจนไม่สามารถนอนราบได้ตามปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจและอึดอัดตรงหน้าอก หายใจหอบ จนบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ หากมีอาการดังกล่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ? อาศัยการซักประวัติ สอบถามอาการและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่น่าสงสัย ตรวจร่างกายในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง ฟังการเต้นของหัวใจ ตรวจระดับไขมันและหินปูนในหลอดเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) โดยใช้สื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กมาติดตามที่หน้าอก แขนและขา โดยคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะแสดงออกมาเป็นกราฟ ซึ่งแพทย์จะอ่านผลและวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คือการให้ผู้เข้ารับการตรวจเดินหรือวิ่งบนสายพานเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ผลจะแสดงออกมาเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมทดสอบด้วยการวิ่งบนสายพาน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาด้านการเดิน เป็นการตรวจเพื่อดูกายวิภาคของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ การเคลื่อนที่และการบีบตัว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหัวใจได้เกือบทุกประเภท ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT Coronary Artery) เพื่อวิเคราะห์หาเส้นเลือดที่ตีบ-ตัน หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหลอดเลือดหัวใจ หากตรวจแล้วพบข้อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจที่จะบอกได้แน่ชัดที่สุดว่ามีการตีบหรือใกล้ตันในจุดใด คือ การฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ นั่นเอง ดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคหัวใจ เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้ เลือกกินอย่างเหมาะสม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มจนเกินไป กินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเลือกชนิดที่น้ำตาลไม่สูง ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในหลอดเลือด ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะการมีน้ำหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญในเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง ทำจิตใจให้แจ่มใส หากรู้ตัวว่ามีความเครียดควรรีบหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เลือกตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมตามช่วงวัยและความเสี่ยง ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) การตรวจ ECHO หัวใจ (Echocardiogram หรือ Echocardiography) เป็นการตรวจการทำงานของหัวใจ เช่น ขนาดของห้องภายในหัวใจ การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ ภาวะน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ ช่องหัวใจโต และตรวจหาภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการเหนื่อยง่าย หรือแน่นหน้าอก และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่างๆ ที่คอยสูบฉีดเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงเซลล์และอวัยวะต่างๆ ด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง คำแนะนำสำหรับผู้รับการตรวจ 1. ควรมาถึงก้อนเวลานัด 15 นาที พร้อมยื่นใบนัดที่แผนกเวชระเบียน 2. ใช้เวลาในการตรวจพิเศษ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นตอนต่างๆจะแจ้งให้ทราบก่อนเริ่มการทดสอบ 3. ควรพักผ่อนให้เพียงพอช่วงก่อนวันนัด หากผู้ป่วยมีไข้ อ่อนเพลีย หรืออาการกำเริบ โปรดสอบถามแพทย์หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ 4. ไม่ต้องงดน้ำไม่ต้องงดอาหารและไม่ต้องงดยา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

รักษาความดันไม่สม่ำเสมอมีผลต่อหลอดเลือดแดงใหญ่

รักษาความดันไม่สม่ำเสมอมีผลต่อหลอดเลือดแดงใหญ่

ความดันโลหิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้ โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นอาการที่ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและถูกความดันเลือดดันออกทำให้เกิดการโป่งพอง มีสาเหตุได้จากทั้งความเสื่อมตามวัยของผู้สูงอายุ หรือความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่จัด หรือคนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด หากใครที่อยู่ในภาวะเสี่ยงควรรีบพบแพทย์และรักษาโดยด่วน เพราะหลอดเลือดแดงใหญ่นั้นมีความสำคัญกับร่างกายมาก เปรียบเสมือนท่อประปาหลักที่ส่งเลือดแดงไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หัวใจ สมอง ประสาทไขสันหลัง แขน ขา และรวมไปถึงในช่องท้อง เช่น ตับ ไต และลำไส้ แน่นอนว่าถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างการที่เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง และปริแตกอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ถึง 50-90% หลอดเลือดแดงใหญ่อยู่ตรงไหน...สำคัญยังไง? ลองนึกภาพหลอดเลือดแดงใหญ่เป็นท่อประปาหลักๆ ที่พาดยาวจากบนลงล่างในร่างกาย แตกแขนงออกมาหล่อเลี้ยงอวัยวะสำคัญอย่าง หัวใจ สมอง ประสาทไขสันหลัง แขน ขา ตับ ไต สำไส้ ดังนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับหลอดเลือดแดงใหญ่ แน่นอนว่าย่อมกระทบต่ออวัยวะส่วนต่างๆ และหากหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองถึงขั้นปริแตกล่ะก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ไม่แสดงอาการเบื้องต้น อาจโป่งพองจนแตก...นี่คือสิ่งที่ต้องระวัง โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นได้กับทุกตำแหน่งของหลอดเลือดแดงใหญ่ ในช่วงตั้งแต่ส่วนติดกับหัวใจลงมาถึงในช่องท้องที่แยกแขนงเป็นไปเลี้ยงขาสองข้าง ความอันตรายคือเป็นโรคที่อาจไม่มีอาการ แม้บางครั้งจะโป่งพองขนาดใหญ่มากแล้วเกิดแตก ทำให้เสียเลือดออกจากระบบไหลเวียนโลหิตและเสียชีวิตในเวลาอันสั้น สาเหตุหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง โรคนี้เกิดจากความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ และมักไม่ปรากฏอาการ จนกว่าหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งถึงขนาดที่ใกล้แตก อาการ เจ็บหรือปวด อาจเป็นที่หน้าอก กลางหลังหรือในช่องท้อง คลำได้เป็นก้อนที่เต้นตามชีพจรตรงแถวสะดือ ซึ่งแล้วแต่ตำแหน่งหลอดเลือดแดงใหญ่ที่โป่ง หรือโป่งพองไปกดอวัยวะข้างเคียง เสียงแหบ ไอ ไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด เหนื่อยจากภาวะหัวใจวาย ถ้าเกิดในช่องท้องอาจกดหลอดเลือดดำทำให้ขาบวม “การรักษาหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ถ้ารักษาตอนที่แตกแล้ว อัตราตายจะสูงมาก จะได้ผลดีและปลอดภัยต้องรักษาก่อนมีอาการ” ดังนั้นผู้สูงวัยที่เข้าข่ายอาจมีความเสี่ยง ควรรีบเข้ารับการตรวจไว้แต่เนิ่นๆ ซึ่งการรักษาทำได้สองวิธีคือการผ่าตัดแบบเปิด ต้องเปิดแผลใหญ่ ฟื้นตัวช้า ขณะผ่าตัดก็จะเสียเลือด และยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาตถ้าเป็นการผ่าตัดหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนที่มีแขนงไปเลี้ยงสมอง แต่ในปัจจุบันยกเว้นหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนที่ติดกับหัวใจ เราสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ มีเพียงรอยผ่าตัดที่ขาหนีบความยาวประมาณ 1 นิ้ว แล้วสอดหลอดเลือดเทียมที่มีขดลวดที่ผนังให้ไปกางคร่อมตำแหน่งที่โป่งพอง เลือดจะไหลในเส้นเลือดเทียม ผนังส่วนโป่งพองก็จะไม่สัมผัสกับเลือด ไม่แตกและค่อย ๆ ยุบลงในที่สุด คนไข้สามารถลุกเดินได้เร็ว ฟื้นตัวเร็ว อยู่โรงพยาบาลสั้น กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็ว การรักษาโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองด้วยการใช้ขดลวดและหลอดเลือดเทียมเป็นการรักษามาตรฐานของโรคนี้ อาจมีข้อยกเว้นในตำแหน่งโป่งพองที่รักษาไม่ได้ หรือคนไข้มีลักษณะทางกายวิภาคไม่เหมาะสม ซึ่งการรักษาต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ดังนั้น ยิ่งตรวจพบเร็ว การรักษายิ่งได้ผลดี และปลอดภัย ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ