ปวดท้องน้อยในสตรี

ปวดท้องน้อยในสตรี

ปวดท้องน้อย เกิดได้ทั้งชายและหญิง ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตและปัจจัยเนื่องจากในช่องท้องนั้นประกอบด้วยอวัยวะภายในหลายอย่างด้วยกัน เช่น ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไส้ติ่ง ระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ขณะที่ผู้หญิงอาจมีความเสี่ยงในมดลูก รังไข่และปีกมดลูก ด้วย ซึ่งบ่อยครั้งที่ไม่สามารถแยกไส้ติ่งอักเสบออกจากถุงน้ำรังไข่ที่แตกได้ หรือไม่สามารถแยกโรคมดลูกอักเสบเฉียบพลันออกจากภาวะไส้ติ่งแตกได้ การวินิจฉัยหาสาเหตุเรื่องของปวดท้องน้อย บางครั้งจึงจำเป็นต้องมีแพทย์หลายๆแผนก มาร่วมกันในการดูแลรักษา

การวินิจฉัยสาเหตุปวดท้องน้อยนั้น จำเป็นต้องซักประวัติให้ละเอียด เช่น ปวดท้องน้อยมากี่วัน เป็นมานานแล้วหรือยัง เคยปวดท้องน้อยลักษณะเดียวกันมาก่อนหรือไม่ การรักษาที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่ นอกจากนั้น ประวัติในครอบครัว และประวัติการเกิดโรคในอดีตที่เกี่ยวกับระบบภายในด้วย รวมถึงอาการปวดที่อาจจะแตกต่างกันออกไป เช่น ปวดตื้นๆ หรือปวดลึกๆ มีจุดกดเจ็บหรือไม่ ลักษณะการปวดเป็นแบบบีบๆ ปวดดิ้น ปวดแบบมวนๆ ในช่องท้อง หรือเจ็บเหมือนมีเข็มตำ ปวดจนเป็นลมหรือเปล่า

ปวดท้องน้อยสตรี สามารถแยกออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

ปวดท้องน้อยเฉียบพลัน ( Acute pelvic pain ) มักเกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะในช่องท้องที่เป็นสาเหตุหรืออาจเกิดจากอวัยวะที่เป็นสาเหตุได้รับความเสียหาย มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย หรือมาอาการเป็นลมในบางราย สาเหตุของอาการปวดท้องน้อยลักษณะนี้

ปวดท้องน้อยเป็นซ้ำ ( recurrent pelvic pain )

วินิจฉัยว่าปวดท้องน้อยเนื่องจากไข่ตก ( Mittelschmerz ) กลุ่มนี้เกิดจากมีการหลั่งสารโพสตร้าแกลนดินออกมาจากถุงไข่ที่รั่วออกมา ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะปวดสั้นๆ 1-2 วัน ในช่วงกลางรอบเดือน รับประทานยาแก้ปวดก็ดีขึ้น แต่ในกรณีที่รับประทานยาแก้ปวด อาการก็ไม่ทุเลาหรือมีภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น เป็นลม เหนื่อยง่าย จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องต่อไปปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ ( primary dysmenorrhea ) อาการปวดประจำเดือนมักเกิดในช่วงก่อนมีประจำเดือนและอาจปวดต่อเนื่องได้ถึง 72 ชม อาการปวดมักจะทุเลาได้โดยการใช้ยากลุ่มยับยั้งการสร้างโพสตร้าแกลนดินหรือการใช้ยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยกลุ่มนี้ อาการปวดมักจะดีขึ้นหลังหลังจากมีบุตร

ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ( Chronic pelvic pain ) เป็นภาวะที่พบบ่อย และเป็นปัญหามากในการวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติการรักษาจากแพทย์หลายคน เนื่องจากการวินิจฉัยหาสาเหตุค่อนข้างยาก
ภาวะปวดท้องน้อยเรื้อรัง ลักษณะของการปวดท้องน้อย ที่มักปวดตลอดหรืออาจจะปวดเป็นช่วงๆ ไม่สม่ำเสมอ ( non cycle pain ) ไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้ และอาการปวดท้องน้อยมักเป็นต่อเนื่องกันมากกว่า 3- 6 เดือน พบว่า ภาวะปวดท้องน้อยเรื้อรังนั้นเป็นสาเหตุในผู้ป่วยที่ตัดมดลูกทั้งหมด ถึง 18%

สาเหตุปวดท้องน้อยเรื้อรัง

  • เยื่อบุประจำเดือนอยู่ผิดที่
  • ช๊อคโกเล็ตซีสต์
  • พังผืดในช่องท้อง โดยเฉพาะพังผืดที่ยึดระหว่างลำไส้ใหญ่ส่วนปลา ( sigmoid colon ) กับผนังช่องท้อง เป็นสาเหตุถึง 38 % ในผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดท้องน้อยเรื้อรัง
  • มดลูกและปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง
  • เส้นเลือดโป่งพองในอุ้งเชิงกราน ( pelvic congestion )
  • เนื้องอกมดลูก
  • เนื้องอกและถุงน้ำรังไข่
  • เนื้องอกและมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ลำไส้แปรปวน

จะเห็นได้ว่าปัญหาระบบภายในของผู้หญิงซับซ้อนเป็นอย่างมาก การตรวจภายในจึงสำคัญ เช่นการตรวจวินิจฉัยด้วยอัลตร้าซาวด์ หรือเอกเรย์คองพิวเตอร์ เช่น CT หรือ MRI จำเป็นสำหรับการช่วยวินิจฉัยโรคและแยกโรคในกรณีที่คิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ การตรวจสวนลำไส้ใหญ่ หรือการส่องกล้องลำไส้เล็กก็จำเป็นในกรณีที่ผุ้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยหลายอย่างแล้ว ก็ยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน การส่องกล้องวินิจฉัยในช่องท้อง ( Diagnostic laparoscope ) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่แพทย์จะใช้ในการตรวจวินิจฉัย แต่เนื่องจากการตรวจด้วยการส่องกล้องวินิจฉัยในช่องท้องนั้น จำเป็นต้องนำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดและดมยาสลบ การเลือกใช้วิธีนี้จึงควรมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามการรักษาโรค ขึ้นกับการตรวจพบสาเหตุของโรค ให้การรักษาตามสาเหตุโดยคำนึงถึงอายุ ประวัติการมีบุตรร่วมด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง

การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง

การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีภูมิใจเสนอเทคโนโลยีการผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษาโรคทางนรีเวช ตั้งแต่กระบวนการตรวจพบปัญหาจนถึงการรักษา เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการอย่างมีคุณภาพแก่ผู้ป่วยของเรา การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้องคืออะไร? การผ่าตัดผ่านกล้อง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Laparoscopic Surgery เป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้กล้องขนาดเล็กและเครื่องมือพิเศษช่วยในการผ่าตัดโดยไม่ต้องกรีดเปิดแผลกว้างแบบการผ่าตัดดั้งเดิม ซึ่งกล้องจะมีกำลังขยายที่สูงทำให้แพทย์สามารถมองเห็นได้ชัดเจนและทำการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งหลังผ่าตัดจะมีแผลขนาดเล็กที่ทิ้งรอยน้อยกว่าการผ่าตัดทั่วไป ทำไมการผ่าตัดผ่านกล้องถึงน่าสนใจ? แผลขนาดเล็ก: การผ่าตัดผ่านกล้องจะทำให้ได้แผลที่มีขนาดเล็กกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ฟื้นตัวเร็ว: เนื่องจากแผลมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยมักจะรู้สึกดีขึ้นและฟื้นตัวได้เร็วกว่ามาก สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ: แผลขนาดเล็กทำให้โอกาสในการติดเชื้อลดลง เจ็บน้อยลง: การใช้กล้องและเครื่องมือพิเศษทำให้เกิดแผลเล็กๆ เจ็บปวดหลังการผ่าตัดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดซึ่งมีแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ ผลลัพธ์ที่ดีกว่า: กล้องกำลังขยายสูงให้การมองเห็นที่ชัดเจนและแม่นยำขณะทำผ่าตัดส่งผลแพทย์สามารถทำการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช (Laparoscopic Gynecologic Surgery) สามารถวินิจฉัยและรักษาความผิดปกติต่าง ๆ ได้ดังนี้ เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids): เนื้องอกที่เกิดในผนังของมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหรือเลือดออกผิดปกติ ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts): ซีสต์หรือถุงน้ำที่เกิดในรังไข่ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการปวดหรือมีความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ร้ายแรง ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): โรคที่เกิดจากการมีเนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตนอกมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดท้องและปัญหาการเจริญพันธุ์ ปัญหาเกี่ยวกับท่อนำไข่ (Fallopian Tube Issues): การอุดตันหรือการบาดเจ็บที่ท่อนำไข่ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการตั้งครรภ์ โรคพังผืดในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Adhesions): พังผืดที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการผ่าตัดก่อนหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและปัญหาการตั้งครรภ์ การตกเลือดผิดปกติ (Abnormal Uterine Bleeding): อาการเลือดออกผิดปกติที่อาจเกิดจากปัญหาหลายประการ เช่น เนื้องอกในมดลูกหรือการเจ็บป่วยทางนรีเวชอื่นๆ การรักษาภาวะมดลูกหย่อน (Uterine Prolapse): ภาวะที่มดลูกเคลื่อนที่ลงมาจากตำแหน่งปกติ ซึ่งอาจต้องการการรักษาเพื่อฟื้นฟูการทำงานของมดลูก การผ่าตัดเพื่อการวินิจฉัย (Diagnostic Laparoscopy): ใช้เพื่อค้นหาสาเหตุของอาการที่ไม่ชัดเจนหรือเพื่อประเมินปัญหาทางนรีเวชที่ไม่สามารถระบุได้ด้วยการตรวจแบบอื่น การผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวชมีข้อดีในการลดขนาดของแผลและลดระยะเวลาการพักฟื้น ดังนั้นจึงมักเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและมีผลข้างเคียงหลังผ่าตัดน้อย หากพบมีอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคที่กล่าวมาข้างต้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัดผ่านกล้อง? การผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้องเหมาะสำหรับการรักษาหลายกรณี เช่น การรักษาเนื้องอกในมดลูก, การรักษานิ่วในถุงน้ำดี, และการรักษาปัญหาทางนรีเวชอื่นๆ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีเรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง หากท่านการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดทางนรีเวชผ่านกล้อง หรือปรึกษาเกี่ยวกับความต้องการด้านการรักษากรุณาติดต่อเราเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 039-319888

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก เชื้อ HPV เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ซึ่ง HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่เมื่อติดเเล้วมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งปาดมดลูก ได้แก่ HPV 16 , 18 , 31 , 33 , 35 , 39 , 45 , 52 , 56 โดยเฉพาะเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่นับว่ามีความเสี่ยงสูงมากกว่าตัวอื่น ๆ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ปัจจัยเสี่ยงทางเพศหญิง การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยกว่า 17 ปี การตั้งครรภ์และการคลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น ไม่เคยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาก่อน ปัจจัยทางฝ่ายชาย ผู้ชายที่เป็นมะเร็งองคชาต ผู้ชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก ผู้ชายที่เคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน ปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ และการได้รับยากดภูมิคุ้มกัน อาการของมะเร็งปากมดลูก ตกเลือดทางช่องคลอด เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีน้ำออกปนเลือด ตกขาวปนเลือด อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลาม ขาบวม ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด การป้องกันมะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

เดอร์มอยซีสต์

เดอร์มอยซีสต์

เดอร์มอยซีสต์ เชื่อว่าหลายคน เคยได้ยินโรคซีสต์หรือถุงน้ำที่รังไข่ แต่ไม่คุ้นเคยกับโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) ที่เกิดจากเซลล์ที่มีความสามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ มาอยู่ที่บริเวณรังไข่ตั้งแต่แรกเกิด แล้วมีการพัฒนาหรือถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่างให้เจริญไปเป็นเซลล์ไขมัน เส้นผม กระดูกอ่อน หรือฟัน จนคิดว่าโดนของหรือคุณไสยฯ ทั้งที่ความจริง ทางการแพทย์ได้มีการอธิบายเอาไว้ โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ เป็นโรคที่พบได้บ่อย ๆ ในคุณผู้หญิง ที่น่าสนใจคือ มักจะไม่มีอาการใด ๆ เลย และพบได้แม้อายุยังน้อย ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งโอกาสกลายเป็นมะเร็งมีน้อยมาก ภาวะแทรกซ้อนของโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ บิดขั้ว เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มากที่สุดในโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ คนไข้จะมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านซ้ายหรือขวา กดเจ็บบริเวณท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีไข้ต่ำ ๆ ได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉินจะทำให้รังไข่ข้างนั้น ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานาน ส่งผลให้รังไข่เน่า ทำให้จำเป็นต้องตัดรังไข่ข้างนั้นทิ้งในที่สุด แตกหรือรั่ว เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้กับโรคถุงน้ำรังไข่ทุกชนิด รวมทั้งโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ คนไข้จะมีอาการปวดท้องน้อยฉับพลัน และปวดตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีเลือดออกในช่องท้องจำนวนมาก จะทำให้เกิดภาวะช็อกได้ ติดเชื้อ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ คนไข้จะมีอาการไข้สูง ร่วมกับการปวดท้องน้อยที่รุนแรง มะเร็ง แม้จะมีโอกาสน้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทางการแพทย์พบโอกาสเป็นมะเร็งได้ประมาณ 1% ถุงน้ำเดอร์มอยด์ เป็นโรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เล็กลงด้วยยาหรือฮอร์โมน ซึ่งต่างจากช็อกโกแลตซีสต์ ผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำ (Ovarian Cystectomy) โดยจะทำในกรณีที่ยังไม่มีรังไข่เน่า จากภาวะแทรกซ้อนจากรังไข่บิดขั้ว และถุงน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นการตรวจพบถุงน้ำรังไข่ก่อนที่จะมีขนาดใหญ่จนเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงเป็นการดีที่สุด เพราะการผ่าตัดในขณะที่ขนาดถุงน้ำรังไข่มีขนาดเล็กนั้นทำได้ง่ายกว่า และสูญเสียเนื้อรังไข่น้อยกว่า ส่งผลดีในกรณีที่คนไข้อายุยังน้อย และมีความต้องการมีบุตรในอนาคต ผ่าตัดรังไข่ข้างนั้น ๆ (Unilateral Oophorectomy) จะทำในกรณีที่มีภาวะรังไข่เน่าจากการที่รังไข่บิดขั้ว ทำให้รังไข่ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานจนรังไข่เน่า กรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่มาก ๆ ไม่มีเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีเหลืออยู่ และรังไข่อีกข้างดูปกติดี เพราะการเหลือรังไข่ 1 ข้าง เพียงพอสำหรับการผลิตฮอร์โมนเพศหญิงได้ หรือกรณีที่อายุมาก ๆ สงสัยว่าอาจมีเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม คุณผู้หญิงทุกเดอร์มอยด์ซีสต์ เป็นโรคถุงน้ำรังไข่ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่โรคจากการถูกทำไสยศาสตร์ตามที่เข้าใจกัน หากผู้ป่วยมีอาการ เช่น ปวดท้องน้อยฉับพลัน หรือรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ

เลเซอร์ รีเเพร์

เลเซอร์ รีเเพร์

💕👩🏻ฟื้นฟูความมั่นใจให้คุณผู้หญิง ด้วยเลเซอร์ฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น ปัญหาช่องคลอดที่เกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดหลวม อาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปัญหาปัสสาวะเล็ดจากการไอหรือจาม และอวัยวะเพศคล้ำ หย่อนคล้อย สิ่งเหล่านี้อาจทำให้คุณขาดความมั่นใจในชีวิตประจำวัน 👩🏻เลเซอร์ฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น เทคโนโลยีเลเซอร์ 360 องศาที่ออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาภายในให้คุณผู้หญิงโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องผ่าตัด แสงเลเซอร์จะช่วยกระตุ้นการสร้างและจัดเรียงเส้นคอลลาเจนในบริเวณผนังช่องคลอด ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และปรับสมดุล ทำให้ช่องคลอดชุ่มชื้น ลดอาการปัสสาวะเล็ด อีกทั้งยังสามารถทำให้ผิวภายนอกอวัยวะเพศกลับมาขาวกระจ่างใสได้ภายใน 1 สัปดาห์ ขั้นตอนการรักษาง่ายและรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานและเห็นผลทันทีหลังจากการทำครั้งแรก ควรทำต่อเนื่องเพียง 3 ครั้ง โดยเว้นระยะ 1-2 เดือน ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการใช้เวลาในขั้นตอนนี้ เตรียมพร้อมสำหรับการทำเลเซอร์ฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น : - ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้ารับบริการ - ควรทำหลังจากมีรอบเดือน - หากมีประวัติเป็นเริมหรือใช้ยาลดการแข็งตัวของเลือด ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้า เปลี่ยนปัญหาที่คุณกังวลให้เป็นเรื่องเล็ก ๆ ด้วยเลเซอร์ฟื้นฟูจุดซ่อนเร้น ฟื้นฟูความมั่นใจ และพร้อมใช้ชีวิตอย่างมั่นใจอีกครั้งกับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช็กตารางออกตรวจแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

Laser repair กระชับช่องคลอด

Laser repair กระชับช่องคลอด

“เปลี่ยนเรื่องใหญ่ ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก” คืนความสดใสให้น้องสาว ด้วยนวัตกรรมไร้ใบมีด Laser Repair เห็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง #ในครั้งแรกที่ทำ Laser repair กระชับช่องคลอด เป็นการรักษาเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ช่วยเพิ่มการหดกระชับของผิวช่องคลอดทั้งเยื่อบุทำให้แก้ปัญหาช่องคลอดแห้ง ป้องกันปัญหาช่องคลอดหย่อนคล้อย เพิ่มความกระชับมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น พึงพอใจทางเพศมากขึ้น แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด เป็นการรักษาด้วย Laser ที่มีความหนาแน่นกว่าช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อช่องคลอด ทำให้ท่อปัสสาวะที่มีปัญหากลับมาใช้งานได้ตามปกติ กลั้นปัสสาวะได้ดีขึ้นลดปัญหาเข้าห้องน้ำบ่อย ลดอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจาม การเตรียมตัวก่อนการรักษา ควรรักษาก่อนมีประจำเดือน หรือหลังมีประจำเดือนวันสุดท้ายไปแล้ว 1 สัปดาห์ การรักษา จะรู้สึกอุ่นๆ หรือร้อนเพียงเล็กน้อย ซึ่งแพทย์จะดูแลอย่างใกล้ชิด ผลการรักษาขึ้นอยู่กับระดับความหย่อยคล้อยเดิมที่มีอยู่ ควรเข้ารับการรักษา 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ จะรู้สึกช่องคลอดกระชับขึ้น ทั้งในเยื่อบุและผนังรอบนอก ผลที่เกิดขึ้นทันทีเกิดจากความร้อนของเลเซอร์ ส่วนคอลลาเจนที่เกิดใหม่จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์ ทำโดยแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช สอบถามเพิ่มเติม หรือนัดหมาย โทร 039 319888 #ศูนย์สุขภาพสตรี #เลเซอร์กระชับช่องคลอด, #เลเซอร์รักษาปัสสาวะเล็ด

ปฎิบัติตัวอย่างไร เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน

ปฎิบัติตัวอย่างไร เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน

ปฎิบัติตัวอย่างไร เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ในช่วงอายุ 45 ถึง 55 ปี สิ่งที่สตรีทุกคนเริ่มกังวลคือการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน วัยหมดประจำเดือน หรือ วัยทอง (menopause) หมายถึง การหมดประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องจากสิ้นสุดการทำงานของรังไข่ เป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของสตรีทุกคน โดยทั่วไปวินิจฉัยวัยทอง เมื่อมีการขาดประจำเดือนอย่างน้อย 12 เดือน เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะลดระดับลงอย่างมาก ร่วมกับปัจจัยด้านอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้สตรีวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ และพบว่ามีอุบัติการณ์และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น 1.อาการ ผลที่เกิดจากรังไข่หยุดทำงานในวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดอาการและการเปลี่ยนแปลงในสตรีวัยนี้หลายอย่างได้แก่ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน หงุดหงิด ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ใจสั่น หลงลืม น้ำหนักเพิ่ม ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก และความรู้สึกทางเพศลดลง เป็นต้น อาการร้อนวูบวาบและเหงื่อออกตอนกลางคืน หมายถึง ความรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณส่วนบนของร่างกายเช่น ใบหน้า คอ หน้าอก โดยแต่ละครั้งอาการจะคงอยู่นานไม่เกิน 3-4 นาที แล้วอาการดีขึ้น อาการมักจะเป็นมากเวลากลางคืน อาจมีความรู้สึกร้อนวูบวาบจนกระทั่งมีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน อาการร้อนวูบวาบเป็นภาวะที่พบได้บ่อยถึงร้อยละ 20-50 อาการมักจะดีขึ้นหลังจากหมดประจำเดือน 2 ปีขึ้นไป เกิดจากการลดระดับของฮอร์โมนเพศหญิงลงจากเดิมที่เคยมีระดับสูง อาการทางระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ เยื่อบุช่องคลอดและท่อปัสสาวะเป็นเนื้อเยื่อที่ได้รับผลกระทบต่อการขาดฮอร์โมนเพศหญิงโดยตรง ทำให้มีอาการต่างๆดังนี้ - ช่องคลอดแห้ง มีอาการคัน ระคายเคือง หรือปวดแสบร้อนที่บริเวณอวัยวะเพศและช่องคลอด - ความรู้สึกทางเพศลดลง สารคัดหลั่งลดลงระหว่างมีกิจกรรมทางเพศ ทำให้มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ - ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้บ่อย การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง การขาดฮอร์โมนเพศหญิงเป็นปัจจัยเร่งในอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเสื่อมของระบบผิวหนังทั้งการแบ่งเซลล์ช้าลง ความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังบาง และขาดความยืดหยุ่น เกิดมีอาการผิวแห้ง คัน แพ้ง่าย และหย่อนคล้อย โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดแดงตีบแข็ง ฮอร์โมนที่ลดลงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันต่างๆในร่างกาย ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดแดงตีบแข็งมากขึ้น โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเป็นปัจจัยเร่งในอายุที่มากขึ้น ภาวะกระดูกพรุนเป็นเหมือนภัยเงียบ โดยร่างกายจะสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วใน 5 ปีแรก ทำให้เกิดกระดูกหักได้ง่าย เนื่องจากผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ แต่จะตรวจพบหลังมีกระดูกหักจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย ภาวะซึมเศร้าและนอนไม่หลับ พบภาวะซึมเศร้าและมีอาการกังวลได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การสูญเสียความสวยงามทางร่างกาย ทำให้ขาดสมาธิในการทำงาน มีอาการหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน หรือหลงลืมได้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขาดหรือการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางครอบครัวและสังคมด้วย 2. แนวทางการดูแลสุขภาพ ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในสตรีวัยหมดประจำเดือนแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการที่สัมพันธ์กับภาวะหมดประจำเดือน และ โรคอันเกิดจากความเสื่อมถอยตามอายุ ปัญหาสุขภาพดังกล่าวมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การดูแลสุขภาพของสตรีในวัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้สตรีสามารถดำรงคุณภาพชีวิตที่มีคุณภาพให้นานที่สุด โดยใช้หลักการเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคอันเกิดจากความเสื่อมถอยตามอายุ 2.1 การตรวจร่างกายและการตรวจสืบค้นเพิ่มเติม เพื่อคัดกรองโรคที่พบได้บ่อยในวัยหมดประจำเดือน และตรวจหาข้อบ่งชี้/ข้อบ่งห้ามในการที่จะต้องรักษาผลกระทบต่างๆของวัยหมดประจำเดือน ตรวจร่างกายทั่วไป ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต ตรวจเต้านม และตรวจภายใน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตรวจทางห้องปฏิบัติการขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ตรวจเลือดเพื่อนับเม็ดเลือด, ตรวจน้ำตาลหลังอดอาหารเพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน, ตรวจการทำงานของไตและตับ, ตรวจระดับไขมันในเลือด, ตรวจเอกซเรย์ปอด, ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจปัสสาวะ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (BMD) แนะนำให้ตรวจในสตรีที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีเป็นต้นไป หรือในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่อายุน้อยกว่า 65 ปี แต่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น น้ำหนักตัวน้อย มีประวัติกระดูกหัก รับประทานยาบางชนิดที่ทำให้มวลกระดูกลดลง ตรวจภาพรังสีเต้านม (mammogram) ตั้งแต่อายุ 40 ปี ทุก 1-2 ปี โดยเฉพาะในรายที่อยู่ในระหว่างให้ฮอร์โมนบำบัด ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทุก 5 ปี (ขึ้นกับวิธีตรวจ) โดยทั่วไปจะหยุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่อสตรีอายุมากกว่า 65 ปีหรือถูกตัดมดลูกออกไปแล้วร่วมกับมีประวัติการตรวจคัดกรองก่อนหน้าที่เพียงพอและผลปกติ ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ แนะนำตรวจคัดกรองอายุ 45-75 ปี วิธีตรวจมีหลายแบบ ได้แก่ ตรวจเม็ดเลือดแดงในอุจจาระปีละครั้ง หรือตรวจ fecal immunochemical test (FIT test) ปีละครั้ง หรือตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ (computerized tomography colonoscopy) ทุก 5 ปี หรือส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (flexible sigmoidoscopy) ทุก 5 ปี หรือส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ทุก 10 ปี สตรีวัยหมดประจำเดือนควรรับการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่, วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี, วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ, วัคซีนป้องกันงูสวัด และวัคซีนป้องกัน covid-19 2.2 อาหาร อาหารเสริม และวิตามิน สตรีวัยหมดประจำเดือนควรงดแอลกอฮอล์รวมทั้งบุหรี่ ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล โดยเปลี่ยนมารับประทานคาร์โบไฮเดรตจากธัญพืชประเภท whole-grain ผัก และผลไม้ ซึ่งมีเส้นใยอาหารอยู่มาก ลดอาหารไขมันประเภทไขมันทรานส์ เช่น มาการีน ครีมเทียม เนยเทียม เนยขาว ลดอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว กะทิเพื่อลดความเสี่ยงของโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด สตรีที่มีอาการร้อนวูบวาบรุนแรง ควรลดอาหารที่มีเครื่องเทศเผ็ดร้อนและคาเฟอีน แคลเซียม (calcium) เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก โดยพบว่า ร้อยละ 99 ของแคลเซียมในร่างกายสะสมในกระดูก มีเพียงร้อยละ 1 ของแคลเซียมในร่างกายถูกนำไปใช้ในการทำงานในกระบวนการต่างๆของร่างกาย หากระดับแคลเซียมในส่วนนี้ลดลง จะกระตุ้นการสลายแคลเซียมจากกระดูกเพื่อนำมาใช้งานดังกล่าว จึงจำเป็นต้องรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ โดยปริมาณธาตุแคลเซียมที่เหมาะสมสำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือนคือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งได้มาจากนม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส โยเกิร์ต ปลาที่กินพร้อมกระดูกได้ ผักใบเขียว เช่น คะน้า บลอกโคลี ใบชะพลู ผักกะเฉด เต้าหู้ ถั่วขาว ข้าวโอ๊ต น้ำส้ม งา วิตามินดี (vitamin D) เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสเฟตจากลำไส้เล็ก และเพิ่มการดูดกลับแคลเซียมทางท่อไต วิตามินดีแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ วิตามินดี 2 พบได้เฉพาะในพืชและยีสต์ และวิตามินดี 3 พบได้เฉพาะในสัตว์ สามารถสังเคราะห์ได้ที่เซลล์ผิวหนังของมนุษย์ ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายได้รับร้อยละ 80-90 มาจากการสังเคราะห์ที่เซลล์ผิวหนัง และส่วนน้อยได้มาจากอาหาร แมกนีเซียม (magnesium) เป็นเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกาย ร้อยละ 50 ของแมกนีเซียมในร่างกายสะสมอยู่ที่กระดูก ในผู้ใหญ่ควรจะต้องได้รับแมกนีเซียมวันละ 600 มิลลิกรัม จึงจะสามารถรักษาระดับแมกนีเซียมในกระดูให้คงที่ได้ ผู้ที่ขาดแมกนีเซียมจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลันในอัตราที่สูงกว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมเพียงพอ วิตามินอี (vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทในการป้องกันการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ และช่วยลดระดับไขมันในเลือด การรับประทานวิตามินอีวันละ 100-400 ยูนิตสากล เป็นเวลานานสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานวันละ 400-1,200 ยูนิตสากล อาจจะลดอาการร้อนวูบวาบเหงื่อออกมาก ใบแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) เป็นสมุนไพรที่ได้รับการยอมรับว่ามีการทำการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก สมุนไพรตัวนี้มีการใช้ในประเทศจีนมาราว 5,000 ปี ประเทศในแถบตะวันตกเพิ่งจะมีการนำมาใช้ในปี พ.ศ. 2523 พบว่ามีผลดีต่อระบบประสาทคือโดยทำให้มีเลือดมาเลี้ยงสมองเพิ่มมากขึ้น ยับยั้ง ช่วยทำให้มีความจำดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดความจำเสื่อม นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าอีกด้วย 2.3 กิจกรรมและการออกกำลังกายในสตรีวัยหมดประจำเดือน กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การทำงานบ้าน เลี้ยงสัตว์ รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ทำครัว ฯลฯ ล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ โดยทางกายจะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ข้อต่อไม่ยึดติด และกระดูกไม่บางลง ส่วนทางใจจะได้ความเพลิดเพลินกับกิจกรรม ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ใจสบาย มีความสุข แม้ว่าการทำกิจกรรมต่างๆจะได้ประโยชน์ไม่มากเท่ากับการออกกำลังกาย แต่ก็ดีกว่าการนั่งๆนอนๆ การคงมีกิจกรรมในชีวิตประจำวันมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการหกล้มและภาวะกระดูกหัก เพื่อการมีสุขภาพที่แข็งแรง ผู้สูงอายุควรมีการทำกิจกรรมระดับปานกลางนานอย่างน้อยวันละ 30 นาทีในเกือบทุกวัน เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีการลดลงของจำนวนและความแข็งแรงกล้ามเนื้อ อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหักเพิ่มมากขึ้น การแนะนำท่าทางในการดำเนินชีวิตประจำวันมีหลักการคือ รักษาความโค้งเว้าตามปกติของแกนกระดูกสันหลังในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นท่ายืน ท่าเดิน ท่านั่ง ท่าก้ม รวมถึงท่าทางในการยกสิ่งของหรือการเอื้อมหยิบของในที่สูง ท่ายืนหรือเดิน ควรอยู่ในท่าหลังตรง เก็บคาง ไม่ยืนห่อไหล่สองข้าง ท่านี้นอกจากดูดีแล้ว ยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบ่าและไหล่ ท่าที่ไม่เหมาะสมคือ การยืนในท่าโค้งมาหน้า เนื่องจากเพิ่มแรงกดทางด้านหน้าต่อกระดูกสันหลัง และเป็นเหตุให้เกิดการยุบตัวของกระดูกหลังง่ายขึ้น ท่านั่ง ควรนั่งในท่าหลังตรง นั่งพิงพนัก เท้าไม่ลอยจากพื้น ไม่นั่งเอนหรือโน้มตัวมาด้านหน้า ให้มีการขยับปรับเปลี่ยนอิริยาบทบ้างเป็นพักๆ แต่ยังคงรักษาแนวโค้งเว้าของหลังไว้ตลอดเวลา ท่านอน ควรนอนในท่านอนหงาย มีหมอนรองใต้ข้อเข่าเพื่อให้ข้อเข่าและข้อสะโพกงอเล็กน้อย หรือนอนตะแคงมือกอดหมอนข้าง งอข้อเข่าและข้อสะโพกเล็กน้อย ท่านอนทั้งสองท่านี้จะช่วยรักษาแนวกระดูกสันหลังได้ดี นอกจากนี้ควรเลือกที่นอนที่แน่น ไม่ยวบ ไม่ทำให้ตัวจมลง ที่นอนที่นิ่มเกินไปจะทำให้แนวกระดูกหลังโค้งงอ ทำให้ปวดหลัง การก้มยกของที่มีน้ำหนัก ควรอยู่ในท่าย่อเข่าและหลังตรง การยกในท่าที่ถูกต้องจะเป็นการใช้กล้ามเนื้อขาช่วยยกและรักษากระดูกหลังไว้ อีกทั้งลดความเสี่ยงที่จะเกิดหมอนรองกระดูกเคลื่อน การหิ้วของ ควรแบ่งน้ำหนักสองข้างพอๆกัน มิฉะนั้นแนวกระดูกหลังจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป และกล้ามเนื้อเสียสมดุล ทำให้เกิดอาการปวดได้ง่าย การเอื้อมหยิบของจากที่สูง ควรมีม้าเตี้ยรองเพื่อลดการแอ่นของหลังที่มากไป การออกกำลังกาย ประโยชน์ของการออกกำลังกายต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ได้แก่ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ และเสริมสร้างมวลกระดูก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุน้อยส่งผลดีมากกว่าเริ่มออกกำลังเมื่ออายุมาก อย่างไรก็ดีการออกกำลังกายในสตรีวัยหมดประจำเดือนก็ยังสามารถเพิ่มความคล่องตัวโดยรวม และลดการสลายกระดูก นอกจากประโยชน์โดยตรงต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูกแล้ว การออกกำลังกายยังมีผลดีต่อการทำงานของหัวใจและปอด กระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย และสมดุลของสารสื่อประสาทต่างๆในสมอง ส่งผลให้ปัญหาสุขภาพหลายประการของสตรีวัยหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงหรือความรุนแรงที่ลดลง ได้แก่ ภาวะกระดูกหักที่สัมพันธ์กับความเปราะบางของกระดูก โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และอาการร้อนวูบวาบในวัยหมดประจำเดือน การออกกำลังกายมีอยู่หลายประเภท ประเภทที่เหมาะกับสตรีวัยหมดประจำเดือนมีดังนี้ 1.การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ เอ็น และกล้ามเนื้อ เป็นการบริหารเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทำให้พิสัยการเคลื่อนไหวข้อทุกข้อสามารถกระทำได้ในทุกทิศทาง เป็นสิ่งสำคัญในการคงท่าทางที่เหมาะสมและทำให้เกิดความกระฉับกระเฉงและคล่องตัวในกิจวัตรประจำวัน การออกกำลังประเภทนี้เช่นการเล่นโยคะและรำมวยจีน 2.การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยสตรีวัยหมดประจำเดือนเน้นที่กล้ามเนื้อขาและกล้ามเนื้อหลัง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่สำคัญต่อการทรงตัว กล้ามเนื้อขามีส่วนสำคัญในการยืนหรือเดิน กล้ามเนื้อขาที่อ่อนแรงทำให้การยืนหรือเดินไม่มีประสิทธิภาพและยังเป็นสาเหตุของการหกล้ม ส่วนกล้ามเนื้อหลังมีความสำคัญเนื่องจากกระดูกสันหลังเป็นกระดูกที่มีภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหักได้บ่อย การบริหารกล้ามเนื้อหลังสามารถลดการเกิดกระดูกสันหลังส่วนนอกยุบและลดอัตราหลังค่อมในผู้ที่มีกระดูกพรุนหรือในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายประเภทนี้เป็นการออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักเป็นแรงต้าน โดยใช้น้ำหนักของตัวเองหรือน้ำหนักตัวเองร่วมกับแรงต้านภายนอก เช่น การสควอท หรือการใช้เครื่องเล่นเวทต่างๆ 3.การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก สามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อกระดูก ตัวอย่างการออกกำลังกายประเภทนี้ได้แก่ การเดิน การวิ่ง การปั่นจักรยาน เป็นต้น แนะนำให้มีระยะเวลาและความถี่เช่นเดียวกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิคทั่วไป การออกกำลังกายประเภทนี้นอกจากจะได้ประโยชน์ต่อกระดูกแล้วยังช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เกิดความสบายและคลายเครียดได้ การป้องกันการหกล้ม เนื่องจากการหกล้มในวัยหมดประจำเดือน มีความเสี่ยงต่อการกระดูกหัก พบว่าบางรายไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก สูญเสียความสามารถในการดูแลตัวเอง ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา การป้องการหกล้มได้แก่ การปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย, การดูแลสายตา, การออกกำลังกายเพื่อสร้างสมดุลร่างกาย การปรับยาที่ส่งผลต่อการทรงตัว เช่น ยานอนหลับ 3. การรักษา ในปัจจุบันไม่แนะนำการใช้ฮอร์โมนบำบัดในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่ไม่มีอาการ หรือให้เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจหรือภาวะสมองเสื่อม การใช้ฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน ควรได้รับการพิจารณาจากแพทย์โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสมสำหรับสตรีแต่ละบุคคล จากอาการที่พบ อายุ ระยะเวลาหลังหมดประจำเดือน โรคประจำตัว ข้อบ่งชี้และข้อบ่งห้ามของฮอร์โมนบำบัด เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและเกิดโทษน้อยที่สุด ข้อบ่งชี้ในการให้ฮอร์โมนบำบัด เพื่อรักษาอาการร้อนวูบวาบ ที่มีอาการระดับปานกลางขึ้นไป เพื่อรักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรีวัยหมดประจำเดือน เพื่อรักษาโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักระดับสูงขึ้นไป เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำก่อนกำหนด ได้แก่ ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศ, รังไข่หยุดทำงานก่อนกำหนด หรือถูกตัดรังไข่สองข้างก่อนวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ ข้อบ่งห้ามในการให้ฮอร์โมนบำบัด เลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมที่ให้ผลบวกต่อตัวรับเอสโตรเจนหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มีประวัติเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด หรือกำลังเป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด โรคตับเรื้อรัง โรคเบาหวาน และ/หรือความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ดี บทสรุป การหมดประจำเดือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของร่างกายไม่ใช่ “โรค” ไม่มีความจำเป็นต้องมีการรักษาในสตรีวัยหมดประจำเดือนทุกราย การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและปรับตัวในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตและสร้างเสริมสุขภาพให้เหมาะสม จะช่วยป้องกันหรือชะลอปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้มีอายุขัยยืนยาว และ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ข้อมูลโดย แพทย์หญิงน้ำมณี มณีนิล