ตรวจหาคราบหินปูนหลอดเลือดหัวใจ

ตรวจหาคราบหินปูนหลอดเลือดหัวใจ Coronary Calcium Scan (CAC)

ภาวะหลอดเลือดแดงของหัวใจแข็ง

การตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan หรือ CAC) เป็นการตรวจหาหลักฐานของภาวะหลอดเลือดแดงของหัวใจแข็ง (Atherosclerosis of Coronary Artery) การที่หลอดเลือดแดงแข็งเป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรังร่วมกับภาวะหลอดเลือดแดงเสื่อมที่เป็นมาระยะเวลานานพอสมควรประมาณ 2 – 5 ปี สาเหตุจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง บุหรี่ โรคอ้วนลงพุง หรือกรรมพันธุ์ ทำให้หลอดเลือดแข็งขึ้นจากการอักเสบเรื้อรัง และสุดท้ายเป็นแคลเซียมไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดเสียไป รวมทั้งมีการตีบของหลอดเลือด การพัฒนาของหลอดเลือดจนกลายเป็นคราบหินปูนเกาะตามหลอดเลือด การบ่งบอกได้ว่าผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดแข็งนั้นสามารถประเมินและวินิจฉัยได้โดยการส่งตรวจ Computerized Coronary Calcium Scan ซึ่งจะสามารถบอกได้ในผู้ป่วยที่เป็นเรื้อรังเท่านั้น ในคนที่เป็นแบบเฉียบพลันอาจจะไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากเป็นรอยโรคใหม่

จุดสังเกตแคลเซียมหรือหินปูน

สำหรับพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจที่มีแคลเซียมหรือหินปูน เริ่มต้นจาก

  1. ลักษณะของแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจเริ่มตั้งแต่เป็นจุด (Fine Speckles) กลุ่มของจุดที่กระจาย (Fragmented) เล็ก ๆ (0.5 – 15.0 µm) เป็นรอยโรคที่เกิดใหม่มีความเสี่ยงต่อ Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน
  2. เมื่อแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นเป็นเส้นตามแนวหลอดเลือด (Diffuse Calcification)
  3. เมื่อแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นเป็นปื้นหรือแผ่นของแคลเซียม (Sheet of Calcification) ที่ขนาดมากกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งหมายถึงการเป็นเรื้อรังมานาน โดยสรุปการบอกแคลเซียมหรือคราบหินปูนที่เกิดขึ้นเป็นของใหม่ที่เพิ่งเกิด หรือเป็นของเก่าพอมีลักษณะที่บอกได้ จากลักษณะเริ่มเป็นจุด เส้น ๆ กลายเป็นหนา และกลายเป็นแผ่นหนาขึ้น

การตรวจวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยคราบหินปูนในผนังเส้นเลือดหัวใจที่หนาตัว (CAC) ทำให้หลอดเลือดแดงหัวใจตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก การทำ Coronary Calcium Scan เป็นวิธีการตรวจเบื้องต้นที่ง่าย ไม่ต้องฉีดสี ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 10 – 15 นาที มีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในอนาคตที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยประเมินร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น รวมทั้งอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยมาประกอบในการวางแนวทางการตรวจรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ผู้ที่ควรตรวจ Coronary Calcium Scan

ข้อบ่งชี้ในการทำ Coronary Calcium Scan ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจน้อยถึงปานกลาง ได้แก่

เทคนิคการทำ Coronary Calcium Scan

การตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan หรือ CAC) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์โดยใช้เทคโนโลยีเอกซเรย์พิเศษที่เรียกว่า Multidetector Row หรือ Multislice Computerized Tomography (CT) ซึ่งสแกนภาพหลายภาพของคราบหินปูนที่สะสมอยู่ที่เส้นเลือด การทดสอบการถ่ายภาพจะดูที่ระดับของคราบหินปูนที่สะสมอยู่ คราบหินปูนประกอบด้วยไขมัน คอเลสเตอรอล แคลเซียม และสารอื่น ๆ ในเลือด ซึ่งจะค่อย ๆ พัฒนาเกาะเพิ่มขึ้นกลายเป็นแผ่นหนาใหญ่ขึ้น จนทำให้เห็นคราบหินปูนที่ชัดเจนขึ้น

Coronary Calcium Scan กับความเสี่ยง

การสแกนหัวใจใช้เทคโนโลยี X – Ray ซึ่งมีปริมาณรังสีค่อนข้างน้อย (ประมาณ 1 Millisievert) เวลาที่ใช้ในการตรวจเพียง 10 – 15 นาทีเท่านั้น

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ

  • ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนรับการตรวจ
  • หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่กระตุ้นหัวใจให้ชีพจรเร็วขึ้น ได้แก่ งดชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ
  • งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนตรวจ
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมของโรงพยาบาล
  • ถอดเครื่องประดับรอบคอหรือแผ่นต่าง ๆ ที่ติดบริเวณหน้าอก

ขั้นตอนระหว่างทำ Coronary Calcium Scan

  • แพทย์จะตรวจ / บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG) ซึ่งจะบันทึกการเต้นของหัวใจในระหว่างการทำ Coronary Calcium Scan
  • ท่านอนจะต้องนอนหงายและต้องกลั้นหายใจนิ่งเพื่อให้ภาพมีความชัดเจน โดยผู้ป่วยอาจจะต้องกลั้นหายใจประมาณ 2 – 10 วินาที ในช่วงที่ถ่ายภาพ
  • กรณีที่อัตราการเต้นของหัวใจผู้ป่วยเต้นเร็วมาก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อให้หัวใจเต้นในเกณฑ์ปกติ
  • ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาที

การปฏิบัติตัวหลังทำ Coronary Calcium Scan

ไม่มีข้อควรระวังเป็นพิเศษหลังทำ Coronary Calcium Scan สามารถขับรถกลับบ้านได้และทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติ

การแปลผล Coronary Calcium Scan

  • การแปลผลปริมาณหินปูนมีความสัมพันธ์กับโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบหรืออุดตัน โดยใช้การแปลผลจากคะแนน Agatston Score คะแนน 0 หมายความว่า ไม่มีแคลเซียมที่หลอดเลือดแดงหัวใจ แสดงว่าโอกาสต่ำในการเกิด Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตันในอนาคตน้อย
  • คะแนน 1 – 100 หมายความว่า มีแคลเซียมที่หลอดเลือดแดงหัวใจน้อย มีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิด Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน ดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย
  • คะแนน 101 ถึง 400 หมายความว่า มีแคลเซียมที่หลอดเลือดแดงหัวใจระดับปานกลาง มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงที่จะเป็นในการเกิด Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อพิจารณาในการตรวจรักษา
  • คะแนนตั้งแต่ 400 ขึ้นไป หลอดเลือดแดงหัวใจอาจมีภาวะหลอดเลือดตีบแอบแฝงอยู่ มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบสูงมาก รวมทั้ง Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน แม้ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม ซึ่งต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อพิจารณาในการตรวจรักษาเพิ่มเติม
CAC Score10 – Year Mortality RiskGuidance Reassure
0Very Low (<1%)Reassure; maintenance of healthy diet and lifestyle.
1 – 100Low (<10%)

Maintenance of healthy diet and

lifestyle

101 – 400Moderate (10–20%)Aspirin recommended
Statins considered reasonable
101-400 & >75th centileModerately High (15-20%)Reclassify as high risk
Aspirin recommended
Statins considered reasonable
>400High (>20%)Aspirin recommended
Statin recommended, to achieve
target LDL <2.0 mmol/L
Consider functional assessment.
* Suggested management based on CAC results for asymptomatic patients

Source: 2017 CSANZ Calcium Score Position Statement

ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ bangkokhearthospital

บทความที่เกี่ยวข้อง

7 สัญญาณโรคหัวใจกำเริบ

7 สัญญาณโรคหัวใจกำเริบ

7 สัญญาณโรคหัวใจกำเริบ โรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน (Heart attack) สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ ซึ่งพบได้บ่อยตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุอาจเกิดได้จากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันชนิดเฉียบพลัน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกบริเวณซีกซ้าย อาจจะมีร้าวไปที่แขนซ้ายหรือร้าวไปที่กราม ร่วมกับมีอาการเหงื่อออก มือเท้าเย็น วิงเวียน จะเป็นลม หมดแรง คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ซึ่งผู้ป่วยที่เสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล เป็นผลมาจากหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะอ้วนลงพุง การบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ อาการอย่างไรเรียกว่าเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ เจ็บ แน่น หรือรู้สึกไม่สบายตรงกลางหน้าอก อาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปที่คอ แขน หรือขากรรไกร เหงื่อออกจะมีเหงื่อออกอย่างมากจนรู้สึกหนาวบริเวณลำตัวส่วนบน อาจมีอาการวิงเวียน หายใจไม่อิ่ม และคลื่นไส้ร่วมด้วย อาการเหล่านี้อาจเกิดขณะที่ออกกำลังกาย หรือมีอารมณ์เครียดอย่างกะทันหัน อาการเหล่านี้มักจะคงอยู่นานราว 1–10 นาที รู้สึกหายใจไม่ทันขณะที่ออกกำลังกาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกแน่นอึดอัดท้องอย่างมาก ถ้าออกกำลังกายทันทีภายหลังรับประทานอาหาร อย่างไรก็ดีอาการหัวใจกำเริบเฉียบพลันอาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาและเกิดได้ทุกสถานที่ และทุกเวลา เช่น ขณะออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่ง นอนหลับพักผ่อน เกิดจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและหนาตัว จากการมีคราบไขมัน (Plaque) และเมื่อเกิดการปริแตกของผนังด้านในหลอดเลือดบริเวณนั้น ทำให้มีลิ่มเลือดมาจับตัวเป็นก้อน จนเกิดการอุดกั้นของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือดจนกล้ามเนื้อหัวใจตาย อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก และถ้ามีการเต้นหัวใจผิดจังหวะของหัวใจห้องล่างชนิดร้ายแรง (VT/VF) ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตฉับพลันได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการแต่ยังรู้สึกตัวดีต้องรีบมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด กรณีที่ผู้ป่วยหมดสติ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งหน้าจะต้องมีความรู้เรื่องการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และรู้จักการใช้เครื่องกระตุกหัวใจ (AED) ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ภายหลังการรักษาผู้ป่วยต้องรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควบคุมปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ด้วยการมาพบแพทย์ตามนัด ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแน่นหน้าอก เวลาออกแรง เหนื่อยง่าย หอบเหนื่อยนอนราบไม่ได้ ขาบวมกดบุ๋มให้รีบมาพบแพทย์ทันที ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ภาวะหัวใจล้มเหลว

ภาวะหัวใจล้มเหลว

ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจผิดปกติที่โครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้อย่างเพียงพอ และไม่สามารถรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ ภาวะหัวใจล้มเหลวจึงมีผลต่อเนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย อาจส่งผลต่อผู้ป่วยอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการหลักๆของภาวะหัวใจล้มเหลว เหนื่อย อ่อนเพลีย บวม ภาวะหัวใจล้มเหลว แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการที่ไม่จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จำเป็นต้องตรวจเลือด และตรวจการทำงานของหัวใจเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัย การรักษานอกจากจะมุ่งเน้นการชะลอการดำเนินโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นภาวะฉุกเฉินต้องให้การรักษาทันที่ มักพบในผู้ป่วยที่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การรักษามุ่งเน้นการรักษาภาวะฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือด และการหายใจเป็นหลัก ภาวะแทรกซ้อนของจากภาวะหัวใจล้มเหลว ไตวาย ตับวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ลิ้นหัวใจรั่ว การวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว ซักประวัติและตรวจร่างกายจากแพทย์ การตรวจเลือดเพื่อหาสารเคมีบางอย่างในร่างกาย (NT-ProBNP) ตรวจการทำงานของหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน (Echocardiography) นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาตรวจหาโรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มเติม เช่น การฉีดสีสวนหัวใจเพื่อหาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เพื่อจะได้ทำการแก้ไขโรคต้นเหตุได้อย่างทันท่วงที ผู้ที่มีความปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางเรื้อรัง การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว การหาโรคที่เป็นทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และรักษาแก้ไขที่โรคต้นเหตุร่วมกับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว รักษาด้วยยาเพื่อชะลอการดำเนินโรคและฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ควบคุมปริมาณน้ำที่ดื่ม และอาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารรสเค็ม และการปรับยาขับปัสสาวะอย่างเหมาะสม การป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ตรวจสุขภาพและพบแพทย์สม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากมีโรคประจำตัว ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง จัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด พักผ่อนอย่างเพียงพอ สอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด — ความต่างที่ไม่เหมือนการผ่าตัดใดๆ “#เบื้องหลังการผ่าตัดที่แพทย์ต้อง ‘#หยุดหัวใจ’ ของผู้ป่วย เพื่อซ่อมแซมและทำให้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง”การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ซับซ้อนที่สุดในทางการแพทย์ แตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไปทั้งในแง่สถานที่ เครื่องมือ ทีมบุคลากร และกระบวนการที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำทุกวินาที⸻1. #ห้องผ่าตัดที่ใหญ่และซับซ้อนกว่าห้องผ่าตัดหัวใจต้องมีพื้นที่กว้างเป็นพิเศษเพื่อรองรับเครื่องมือจำนวนมาก และต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด เช่น• ระบบแรงดันอากาศ (Air Pressure) เพื่อป้องกันการปนเปื้อน• ระบบไฟฟ้าและก๊าซสำรอง เพื่อให้เครื่องมือทำงานต่อเนื่องแม้เกิดเหตุฉุกเฉิน• ระบบบันทึกและการสื่อสาร เพื่อรายงานข้อมูลสำคัญให้ทีมทั้งหมดรับรู้พร้อมกันในระหว่างผ่าตัด⸻2. #เครื่องมือสำคัญที่ทำงานแทนหัวใจและปอด#หัวใจผู้ป่วยจะถูก “#หยุดชั่วคราว” เพื่อเปิดทางให้ศัลยแพทย์ทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยมีเครื่องจักรและระบบสำคัญคอยสนับสนุน ได้แก่• Heart-Lung Machine (เครื่องปอด-หัวใจเทียม): สูบฉีดเลือดและเติมออกซิเจนแทนหัวใจและปอด• Monitoring System: ติดตามสัญญาณชีพแบบเรียลไทม์ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดัน ออกซิเจน และอุณหภูมิ• เครื่องจี้ไฟฟ้าและเครื่องควบคุมการเสียเลือด• Cell Saver: เก็บเลือดของผู้ป่วยเพื่อนำกลับมาใช้ ลดการพึ่งพาเลือดสำรอง⸻3. #ทีมผ่าตัดขนาดใหญ่และเฉพาะทางห้องผ่าตัดหัวใจมีทีมหลายสิบชีวิตทำงานร่วมกัน ได้แก่• ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ผู้ทำการผ่าตัดหลัก• วิสัญญีแพทย์เฉพาะทางหัวใจ ดูแลยาสลบ สมดุลเกลือแร่และการทำงานของอวัยวะ• Perfusionist ผู้เชี่ยวชาญควบคุมเครื่องปอด-หัวใจเทียม• พยาบาลเฉพาะทางห้องผ่าตัด (Scrub Nurse และ Circulating Nurse)• ทีมสนับสนุน เช่น นักเทคนิคการแพทย์, ช่างเทคนิค และทีม ICU ที่เตรียมพร้อมรับช่วงหลังผ่าตัดทันที⸻4. #ระบบ Lab ในห้องผ่าตัดห้องผ่าตัดหัวใจมีระบบ Lab อยู่ภายในเพื่อเจาะและตรวจเลือดได้ทันที โดยผลที่สำคัญ อาทิ• ค่ากรด-ด่าง (ABG)• ค่าเกลือแร่ (Electrolyte)• การแข็งตัวของเลือด (Coagulation)• ค่า Hematocrit/Hemoglobinหากพบค่าที่ผิดปกติระดับ Critical Value ผลจะถูกส่งถึงทีมผ่าตัดทันทีเพื่อปรับการรักษาแบบเรียลไทม์ เช่น การให้เลือดหรือยา⸻5. #เทคนิคการดูแลหัวใจระหว่างผ่าตัด• ใช้สารละลาย Cardioplegia ทำให้หัวใจหยุดเต้นอย่างปลอดภัย และช่วยลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ• ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้อยู่ในระดับ Mild Hypothermia เพื่อชะลอการเผาผลาญและป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะ• ใช้ Heparin ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในเครื่องปอด-หัวใจเทียม พร้อมตรวจ Coagulation ตลอดการผ่าตัดเพื่อควบคุมสมดุล⸻6. #เวลาและความแม่นยำการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ทุกนาทีถูกออกแบบอย่างเป็นระบบ ทีมแพทย์และเครื่องมือทำงานร่วมกันเหมือน “วงออร์เคสตรา” ที่ต้องแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด เพื่อให้หัวใจที่หยุดลงชั่วคราว กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างแข็งแรง

โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี กับการเปิดให้บริการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดอย่างเต็มรูปแบบ #พัฒนาไม่หยุดสู่ขีดสุดการดูแล

โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี กับการเปิดให้บริการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดอย่างเต็มรูปแบบ #พัฒนาไม่หยุดสู่ขีดสุดการดูแล

คุณประยูร ประเสริฐสังข์ เดินเข้าสู่โรงพยาบาลด้วยอาการที่ดูเหมือนไม่รุนแรง เพียงแค่เหนื่อยง่ายเวลาทำกิจกรรมประจำวัน แต่เบื้องหลังความผิดปกติเล็กน้อยนั้น กลับซ่อนภาวะอันตรายไว้ถึง 3 จุด เมื่อทีมแพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดหัวใจตีบถึง 3 เส้น ผ่านการฉีดสีหัวใจ (Coronary Angiogram) จึงมีข้อบ่งชี้ให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด เพื่อทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือ CABG (Coronary Artery Bypass Grafting) อย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาชีวิตและคืนคุณภาพการใช้ชีวิตให้กลับมาอีกครั้งนี่คืออีกก้าวสำคัญของ #โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี กับการเปิดให้บริการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดอย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับความร่วมมือจากทีมแพทย์ศัลยกรรมทรวงอกจากโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา นำโดย• นพ.ศิริวสันต์ อกนิษฐาภิชาติ Cardio-Vascular and Thoracic Director BDMS Eastern Group และผู้อำนวยการหน่วยศัลยกรรมโรคหัวใจ หลอดเลือดใหญ่ และทรวงอก• นพ.พิเชษฐ์ กันหากุล ศัลยแพทย์แพทย์ แพทย์ร่วมผ่าตัด• นพ.ภัทวัฒน์ เปล่งพานิช วิสัญญีแพทย์ อนุสาขา วิสัญญีวิทยาสำหรับการผ่าตัดหัวใจหลอดเลือดใหญ่และทรวงอก• นพ.บรรณชัย โพธิ์ทอง วิสัญญีแพทย์ อนุสาขา วิสัญญีวิทยาสำหรับการผ่าตัดหัวใจหลอดเลือดใหญ่และทรวงอกพร้อมด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพทั้งนักเทคนิคหัวใจ พยาบาลเฉพาะทาง และทีมศูนย์หัวใจโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีที่ทำงานประสานกันอย่างไร้รอยต่อการผ่าตัดเป็นไปอย่างแม่นยำและปลอดภัย หลังผ่าตัด คุณประยูรถูกย้ายเข้าห้อง ICU เพื่อการดูแลเฉพาะทางด้านหัวใจ โดยมีระบบติดตามสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง ทีมพยาบาล นักโภชนาการ และนักกายภาพบำบัดเริ่มโปรแกรมฟื้นฟูทันทีในวันแรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมาตรฐานการดูแลยังขยายต่อไปถึงบ้านของผู้ป่วย ทีมพยาบาลและนักกายภาพลงพื้นที่เยี่ยมบ้านคุณประยูร เพื่อตรวจติดตาม ประเมินความพร้อม และอยู่เคียงข้างในช่วงฟื้นฟูความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการผ่าตัดสำเร็จ แต่คือหลักฐานยืนยันว่า โรงพยาบาลในภูมิภาคตะวันออกสามารถให้การรักษาระดับสูงได้อย่างครบวงจร ด้วยมาตรฐานเดียวกับโรงเรียนแพทย์ชั้นนำในกรุงเทพฯ ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การสวนหัวใจ การทำบอลลูนและใส่ขดลวด ไปจนถึงการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดนี่คืออีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ในการ “ยกระดับการเข้าถึงการรักษาโรคหัวใจด้วยมาตรฐานสากล ใกล้บ้านคุณ” และยังเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ BDMS Eastern Group ที่เชื่อมโยงศักยภาพโรงพยาบาลในเครือ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนทั่วทั้งภาคตะวันออกเพราะหัวใจ…ไม่ควรต้องรอ และไม่ควรต้องเดินทางไกลเพื่อโอกาสในการรักษาโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมแล้วที่จะเป็นอีกหนึ่งความหวังให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจในภาคตะวันออกอย่างแท้จริง

โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM2.5 นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เปิดเผยว่า PM2.5 นับเป็นสารอนุมูลอิสระ (Free Radical) เช่นเดียวกับบุหรี่ และ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ ตีบ ตัน หรือ โรคทางปอด สัมพันธ์กับปริมาณที่ได้รับอย่ามีนัยยะสำคัญ ซึ่งฝุ่น PM2.5 จะเข้าไปกระตุ้นการเกิดอักเสบของหลอดเลือดและการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย ถ้าปริมาณสูงมากพอและเกิดการสูดดมสะสมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดชัดเจน ผลกระทบจาก PM2.5 แบ่งเป็น 2 อาการ หลอดเลือดเสื่อมสภาพ หนาตัวขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว แข็งขึ้นยืดหยุ่นน้อยลง ส่งผลต่อเกร็ดเลือดทำให้เกิดการสลายลิ่มเลือดยากขึ้น และเกร็ดเลือดเกาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อปัจจัย 2 มาเจอกันก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันนั้นเอง โรคหัวใจจาก ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ ? นพ.ชาติทนง กล่าวว่า การก่อโรคจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับปริมาณที่ได้รับจนเกิดการสะสมในร่างกาย โดยกลุ่มที่เป็นโรคประจำตัว อย่างหอบหืด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ย่อมเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นเนื่องจากมีความเซนซิทีฟสูง อย่างไรก็ตาม คนที่สุขภาพดีก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะหากได้รับในปริมาณสูงมากพอก็จะมีการพัฒนาของหลอดเลือด เพราะล่าสุดเวชศาสตร์การกีฬา ได้ออกมาเตือนว่า ถึงแม้จะเป็นนักกีฬาที่แข็งแรงมากแค่ไหน ถ้าฝุ่น PM2.5 เกิน 50 ไมโครกรัม ควรจะใส่หน้ากากอนามัยออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง นพ.ชาติทนง ยังเปิดเผยว่าขณะนี้แพทย์ทั่วโลกกำลังจะยกระดับ PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงระดับต้นๆ เทียบเท่ากับบุหรี่ ในการจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มีผลอย่างนัยยะสำคัญหรือกระตุ้นโรคประจำตัว สัญญาณเตือนแบบพิษฉับพลันPM2.5 วิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้ เลือดกำเดาไหล ขณะที่การก่อโรคเรื้อรังอย่างเลือดเลือดหัวใจจะเป็นในลักษณะการสะสมโรคจึงมักจะไม่แสดงในระยะแรกๆ การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะสุขภาพของหัวใจ ปัจจุบันมีหลากหลายเทคโนโลยีที่แม่นยำ อาทิ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) ,การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram) หรือการตรวจวัดระดับแคลเซียมบริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Coronary Calcium Score) เพื่อการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม การทำงานของไต ระดับไขมันคอเลสเตอรอล ระดับไขมันความหนาแน่นสูง-ต่ำ และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ให้เราสามารถรู้ทันความเสี่ยง หาพบแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจในอนาคตไม่ว่าจะจากปัจจัยไหนก็ตาม ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ” กรมการแพทย์ ระบุว่า ภาวะวูบหมดสติ (Syncope) เป็นอาการสูญเสีย ความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วขณะ ทำให้สมองขาดออกซิเจนชั่วคราวจะมีลักษณะอาการเฉพาะ คือ หมดสติเฉียบพลัน เกิดขึ้นชั่วขณะในระยะเวลาอันสั้น และสามารถฟื้นคืนสติ ได้เองจะแสดงออกทางอาการหลากหลาย เช่น เรียกไม่รู้สึกตัว ล้มลงกับพื้น ทรงตัวไม่อยู่ อาจมีอาการเกร็งที่มือ เท้า ตาค้างชั่วขณะ เหงื่อออกที่ใบหน้า ผู้ป่วยจะจำเหตุการณ์ตอน หมดสติไม่ได้ โดยจะมีระยะเวลาการหมดสติ ตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที ขึ้นกับสุขภาพพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย ขณะที่ผู้ป่วยบางราย อาจจะมีอาการนำมาก่อนเกิดอาการวูบหมดสติ เช่น รู้สึกหวิว ๆ มึนศีรษะ โคลงเคลง ตาพร่า หรือเห็นแสงแวบวาบ ปลายมือ ปลายเท้าเย็น คลื่นไส้ เป็นต้น อาการวูบไม่รู้ตัวเป็นเรื่องที่ อันตรายมากโดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานบนที่สูง หรือผู้ที่ ต้องขับรถ หากมีอาการวูบบ่อย ๆ ควรพบแพทย์ประเมิน หาสาเหตุ สาเหตุของภาวะวูบหมดสติ เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ เกิดจาก ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ซึ่งมักพบตามหลังสถานการณ์เฉพาะบางอย่าง เช่น หลังไอ จาม เบ่ง ยืนนานๆ ในที่แออัด หรืออากาศร้อน กลัวการเจาะเลือด เป็นต้น เกิดจากการเสียเลือด หรือขาดน้ำ เช่น ท้องเสียรุนแรง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายใน เกิดจากยาบางชนิด โดยเฉพาะยาลดความดันโลหิตสูง ยารักษาต่อมลูกหมาก ยาต้านอาการซึมเศร้า หรือแม้แต่ยาเบาหวาน สิ่งที่เป็นอันตราย เป็นอาการสูญเสียความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง จะส่งผลให้เกิดอันตราย เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนนหรือขณะทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น โดยเฉพาะบางอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พนักงานขับรถ นักบิน นักประดาน้ำ คนงานก่อสร้าง ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำเติมจากการภาวะวูบได้ ในผู้สูงอายุพบมากถึง 23% พบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ในคนทั่วไป 3% ผู้ที่เคยมีอาการวูบหมดสติมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีกถึง 1 ใน 3 เท่า อาการวูบที่ควรพบแพทย์ วูบแล้วหมดสติ-ชัก มีอาการหน้าเบี้ยวร่วมด้วย หัวใจเต้นผิดปกติ หรือในผู้สูงอายุรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว สำหรับสิ่งที่ควรต้องระวัง คือ หลังจากผู้ป่วยตื่นขึ้นมาอาจมีอาการ บาดเจ็บได้ การรักษาควรจะต้องรักษาที่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แต่ถ้าหากวูบหมดสติตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการ เช่น ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ชา หรืออ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติภาวะทางสมองอาการของหลอดเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมองแตกได้ ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดควรต้องสังเกตอาการวูบที่เกิดขึ้น และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ