การฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก

บริการ IUI ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี : สู่เส้นทางการเเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สำหรับครอบครัวที่ใฝ่ฝันมีเจ้าตัวน้อย


สำหรับคู่รักที่มีความหวังในการมีบุตร แต่พบกับความยากลำบาก IUI (Intra-Uterine Insemination) หรือการฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก เป็นวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมในเบื้องต้น ด้วยขั้นตอนที่ใกล้เคียงกับการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ

ขั้นตอนการเตรียมตัว

  • ฝ่ายชาย จะต้องเตรียมตัวโดยงดการมีเพศสัมพันธ์หรือหลั่งน้ำอสุจิอย่างน้อย 3 – 7 วันก่อนนัดหมาย

  • ฝ่ายหญิง แพทย์จะทำการติดตามการเจริญเติบโตของไข่ด้วยการอัลตราซาวนด์ เพื่อนัดหมายฉีดเชื้อในวันที่ไข่โตเต็มที่

ขั้นตอนการฉีดเชื้อ

  1. ฝ่ายชายเก็บน้ำเชื้ออสุจิ

  2. น้ำเชื้อจะผ่านการคัดเลือกตัวอสุจิที่แข็งแรง (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง)

  3. ฝ่ายหญิงจะนอนบนเตียงตรวจทางสูตินรีเวช โดยแพทย์ใช้เครื่องมือขยายช่องคลอด

  4. แพทย์จะฉีดน้ำเชื้ออสุจิประมาณ 0.3 มิลลิลิตรเข้าสู่โพรงมดลูกอย่างช้า ๆ

  5. หลังจากนั้นฝ่ายหญิงจะนอนพักประมาณ 20 – 30 นาที

ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดเชื้อ

  • ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

  • สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้

  • หากมีอาการปวดท้องหรือเลือดออกเล็กน้อยสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น

ทำไมเลือก IUI ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี?

บริการ IUI ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมุ่งเน้นการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและสหสาขาวิชาชีพ ด้วยมาตรฐานระดับสากล ช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงและภาวะแทรกซ้อนต่ำ

หากคุณคือคู่รักที่มีความฝันในการสร้างครอบครัว การเลือก IUI ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีอาจเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จในเส้นทางนี้.

ปรึกษาและนัดหมายแพทย์ได้ที่ https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php

บทความที่เกี่ยวข้อง

แพ็กเกจเด็กหลอดแก้ว (ICSI)

แพ็กเกจเด็กหลอดแก้ว (ICSI)

มาทำให้การมีลูก..ไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไปการทำด้วยอิ๊กซี่ (ICSI) อิ๊กซี่ (ICSI) คืออะไร ? ช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากได้อย่างไร ? ใครที่กำลังประสบปัญหามีบุตรยาก ทำมาหลายวิธีแล้วไม่สำเร็จ “อิ๊กซี่” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ อิ๊กซี่ (ICSI) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เพื่อรักษาผู้มีบุตรยาก ที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย และเป็นยอมรับในทางการแพทย์ทั่วโลก เพราะมีโอกาสมีลูกได้สำเร็จสูงกว่าวิธีอื่น ๆ ช่วยให้คู่รักที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก เข้าเส้นทางสู่การเป็นพ่อแม่ได้สมปรารถนา เป็นการคัดเอาตัวอสุจิที่มีความแข็งแรงที่สุด ผ่านการส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์และฉีดเข้าไป เพื่อให้ผสมกับไข่แบบเจาะจงด้วยเข็มขนาดเล็ก พอผสมกันแล้วจะนำไปเลี้ยงในห้องปฏิบัติการด้วยน้ำยาเลี้ยงพิเศษ จากนั้นเมื่อตัวอ่อนพัฒนาไปอยู่ในระยะที่เหมาะสมแล้ว ก็จะนำเข้าไปใส่ในโพรงมดลูกเพื่อให้มีการตั้งครรภ์ต่อไป โปรแกรมเด็กหลอดแก้ว (ICIS Package) ราคา 250,000 บาท วันนี้ - 31 ธันวาคม 2568 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พญ.ฐิติชญา พฤกษานุศักดิ์ นพ. สาโรช วรรณโก สาขา สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และการเจริญพันธุ์ ติดต่อเพื่อจองแพ็กเกจหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319-888 มาทำให้การมีลูก..ไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป #ศูนย์สุขภาพสตรี #ICSI #มีบุตรยาก #โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี

ตรวจคุณภาพอสุจิ

ตรวจคุณภาพอสุจิ

บางครั้งปัญหาการมีบุตรยากไม่ได้มาจากฝ่ายหญิงเสมอไป การเตรียมความพร้อมเพื่อมีเจ้าตัวเล็กนั้น การตรวจวิเคราะห์น้ำเชื้อหรือน้ำอสุจิ (Semen Analysis) ของฝ่ายชายเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยประเมินคุณภาพและปริมาณของตัวอสุจิ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับการวินิจฉัยและวางแผนการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักน้ำอสุจิ “น้ำเชื้อ” หรือ “น้ำอสุจิ” (Semen) เป็นของเหลวที่ประกอบด้วยตัวอสุจิและน้ำหล่อเลี้ยง มีลักษณะสีขาวข้นและหลั่งออกจากร่างกายผู้ชายเมื่อถึงจุดสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมีเพศสัมพันธ์ การช่วยตัวเอง หรือจากฝันเปียก (Wet Dream) ในแต่ละครั้งจะหลั่งน้ำอสุจิประมาณ 3-4 มิลลิลิตร และมีจำนวนอสุจิเฉลี่ยประมาณ 300-500 ล้านตัว ประโยชน์ของการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ การตรวจน้ำอสุจิเป็นวิธีที่สำคัญในการประเมินภาวะมีบุตรยากจากฝ่ายชาย ปัจจัยที่ต้องพิจารณา ได้แก่: ความผิดปกติของจำนวนตัวอสุจิ: อาจเกิดจากท่อนำอสุจิตีบหรือตัน หรืออัณฑะไม่สร้างตัวอสุจิ การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ: หากตัวอสุจิไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดี อาจไม่สามารถว่ายผ่านปากมดลูกไปพบกับไข่ รูปร่างของตัวอสุจิ: ตัวอสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติจะส่งผลกระทบต่อการปฏิสนธิ ควรตรวจน้ำอสุจิเมื่อไร โดยทั่วไปประชากรประมาณ 15% มีปัญหามีบุตรยาก ดังนั้นการตรวจน้ำอสุจิจึงแนะนำให้ทำเมื่อมีเกณฑ์ภาวะมีบุตรยาก แต่ในบางกรณีอาจต้องการตรวจเร็วกว่านั้น เช่น: มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อคุณภาพตัวอสุจิ เช่น โรคตับ โรคไต หรือประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คุณภาพน้ำอสุจิจะเริ่มลดลงหลังอายุ 30 ปี และเห็นผลชัดเจนในอายุ 40 ปี ภรรยาอายุมากกว่า 37 ปี ต้องการข้อมูลเพื่อวางแผนการมีบุตร วิธีการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ การตรวจน้ำอสุจิใช้มาตรฐานจากองค์การอนามัยโลก (WHO Criteria) โดยรวมถึงขั้นตอนดังนี้: การตรวจดูด้วยตาเปล่า (Macroscopic Examination): ตรวจสอบลักษณะทั่วไป เช่น สี ความขุ่น และปริมาตร การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic Examination): ตรวจสอบจำนวนตัวอสุจิ อัตราการเคลื่อนไหว และรูปร่าง เทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Assisted Sperm Analysis: CASA) ซึ่งให้ผลการวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูง ลดความเบี่ยงเบนจากการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ การแปลผลตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ ผลการตรวจน้ำอสุจิจะถือว่าปกติเมื่อมีค่าตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดโดย WHO ได้แก่: ปริมาณน้ำอสุจิ ≥ 1.5 มิลลิลิตร ความเข้มข้นของตัวอสุจิ ≥ 15 ล้านตัว/มิลลิลิตร การเคลื่อนไหว ≥ 40% รูปร่างอสุจิที่ปกติ ≥ 4% ข้อปฏิบัติในการเก็บน้ำอสุจิ ก่อนการตรวจควรงดการหลั่งอสุจิอย่างน้อย 3-7 วัน และต้องเก็บน้ำอสุจิในภาชนะที่สะอาด โดยไม่ควรใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากอาจมีสารที่ทำลายตัวอสุจิ ข้อจำกัดในการเก็บน้ำอสุจิ ในกรณีที่ไม่สามารถเก็บน้ำอสุจิด้วยตนเองได้ สามารถใช้วิธีหลั่งภายนอกใส่ภาชนะที่โรงพยาบาลจัดให้ แต่การเก็บอาจมีปริมาณน้อยหรือคุณภาพลดลงได้ นอกจากนี้ ควรนำส่งน้ำอสุจิไปยังห้องปฏิบัติการภายใน 1 ชั่วโมงหลังการเก็บ สรุป การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการมีลูก โดยช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนและหาทางออกในการมีบุตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบปัญหาใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขและวางแผนการรักษาต่อไป นัดหมายแพทย์ คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php

การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) กับ การทำอิ๊กซี่ (ICSI)

การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) กับ การทำอิ๊กซี่ (ICSI)

ปัจจุบันการทำเด็กหลอดแก้วเป็นอีก 1 ทางเลือกของคู่รักที่ต้องการมีบุตร เนื่องจากปัญหาภาวะมีบุตรยากที่เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของไข่หรืออสุจิ ความไม่สมดุลของฮอร์โมน อายุที่เพิ่มขึ้น หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ ทำให้ต้องหาวิธีการช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตร เมื่อเทคโนโลยีการช่วยเจริญพันธุ์อื่นใช้ไม่ได้ผลการทำเด็กหลอดแก้วนับเป็นทางเลือกที่ถูกนึกถึง แต่บ่อยครั้งที่มักจะสับสนระหว่างการทำเด็กหลอดแก้วไอวีเอฟ (IVF) กับการทำอิ๊กซี่ (ICSI) ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีจึงสรุปมาให้เข้าใจง่ายมากขึ้น 1. การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) กระบวนการ: นำไข่และอสุจิมาผสมกันนอกตัวในห้องปฏิบัติการ อสุจิจะเข้าไปเจาะไข่เอง ซึ่งคล้ายกับการปฏิสนธิในธรรมชาติ เริ่มจากการตรวจความพร้อมของผู้หญิงในวันที่ 2-3 ของรอบเดือน และฉีดยากระตุ้นไข่ประมาณ 8-14 วัน เมื่อได้ไข่ตามที่ต้องการ จะฉีดยากระตุ้นไข่ตกและเก็บไข่ อสุจิที่เก็บจากผู้ชายจะนำมาผสมกับไข่ในห้องปฏิบัติการ ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจะถูกย้ายไปยังโพรงมดลูกหลังจาก 3-5 วัน 2. การทำอิ๊กซี่ (ICSI) กระบวนการ: เหมาะสำหรับผู้ชายที่มีปัญหาอสุจิไม่สามารถเจาะไข่ได้ ใช้เข็มฉีดอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง เริ่มต้นคล้ายกับ IVF โดยการฉีดยากระตุ้นไข่ และเก็บไข่ด้วยการเจาะ ตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจะถูกย้ายไปยังโพรงมดลูกหลังจากเติบโตในห้องปฏิบัติการ ข้อแตกต่างหลัก IVF: อสุจิจะผสมกับไข่เองในจานเพาะเลี้ยง ICSI: อสุจิถูกฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง ปรึกษาและนัดหมายแพทย์ คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร 039-319888

อายุคุณผู้หญิงกับโอกาสตั้งครรภ์

อายุคุณผู้หญิงกับโอกาสตั้งครรภ์

ปัจจุบันภาวะมีบุตรยากกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคู่สามีภรรยายุคใหม่ เนื่องจากหลายคนเลือกที่จะแต่งงานในช่วงเวลาที่ช้าขึ้นและมีอายุมากขึ้น ส่งผลให้สมรรถภาพในการมีบุตรลดลง คำถามที่ผู้หญิงมักสงสัยคือ สามารถตั้งครรภ์ได้ถึงอายุเท่าไร และทำไมเมื่ออายุมากขึ้นโอกาสในการตั้งครรภ์ถึงลดลง ดังนั้น การมีความรู้และการวางแผนชีวิตคู่ในเรื่องการตั้งครรภ์จึงมีความสำคัญ เพื่อให้สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงความรู้สึกเสียดายว่า "สายเกินไป" ในการมีลูก อายุของผู้หญิงกับโอกาสในการตั้งครรภ์ ปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสตั้งครรภ์ยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ได้แก่: ความคลาดเคลื่อนของโครโมโซม เซลล์ร่างกายมนุษย์มีโครโมโซมทั้งหมด 46 ชิ้นหรือ 23 คู่ การเกิดทารกเริ่มต้นจากการรวมตัวของเซลล์สืบพันธุ์จากพ่อและแม่ ซึ่งจะนำเอาสารพันธุกรรมมารวมกัน หากไข่ไม่สามารถแบ่งโครโมโซมได้อย่างถูกต้อง อาจเกิดไข่ที่มีโครโมโซมผิดปกติได้ เช่น 24 ชิ้นหรือ 22 ชิ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาของตัวอ่อนที่อาจมีปัญหาต่าง ๆ รวมถึงการแท้งบุตรหรือการเกิดความผิดปกติในร่างกายและสติปัญญา พลังงานในเซลล์ไข่ เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น พลังงานในเซลล์ไข่จะลดลง ทำให้กระบวนการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโตของตัวอ่อนมีประสิทธิภาพต่ำลง อาจส่งผลให้ไม่สามารถฝังตัวในโพรงมดลูกได้หรือหยุดการเจริญเติบโตในระหว่างการพัฒนา อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลง การแท้งบุตรเพิ่มมากขึ้น และมีความเสี่ยงในการคลอดบุตรที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม ดังนั้น การตั้งครรภ์ในผู้หญิงที่มีอายุมากจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด ตั้งคำถามเมื่อเริ่มใช้ชีวิตคู่ ความสุขในการใช้ชีวิตคู่คืออะไร? คุณต้องการใช้ชีวิตคู่กันเพียงแค่สองคนหรือไม่? มีความต้องการมีบุตรมากแค่ไหน? หากต้องการมีบุตร ควรพร้อมตั้งครรภ์เมื่ออายุเท่าใด และจะมีปัญหาอะไรบ้าง? หากต้องการมีบุตรหลายคน แต่เริ่มตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก เช่น 39 ปี จะมีอุปสรรคใดบ้าง? วิธีการช่วยให้ตั้งครรภ์ได้ตามที่ตั้งใจ ปัจจุบันมีวิธีการช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ได้ตามที่ตั้งใจ เช่น การทำ IUI (Intrauterine Insemination) ซึ่งเป็นการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกในช่วงไข่ตก และการทำ IVF (In Vitro Fertilization) ที่เจาะเก็บไข่สุกและนำไปผสมกับอสุจิในหลอดทดลอง จนเกิดเป็นตัวอ่อนที่พร้อมจะนำกลับไปฝังในโพรงมดลูก ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลกรุงเทพมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทีมสหาสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์ พร้อมด้วยห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่ทันสมัยและได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อให้การตั้งครรภ์ประสบผลสำเร็จอย่างดีที่สุด ปรึกษาและนัดหมายแพทย์ คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php สอบถามเพิ่มเติมติดต่อคลินิกผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีโทร 039-319888

5 สาเหตุ ที่ทำให้มีบุตรยาก

5 สาเหตุ ที่ทำให้มีบุตรยาก

จากการศึกษาพบว่าอย่างน้อย 15% ของคู่สมรสมีปัญหาในการตั้งครรภ์ ซึ่งหมายความว่ามีหลายคู่ที่ประสบปัญหาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตร เช่น อายุ, สุขภาพ, สภาพแวดล้อม และปัจจัยทางพันธุกรรม การมีบุตรไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสุขภาพ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความสุขในชีวิตคู่ ดังนั้นการเข้าใจและยอมรับปัญหานี้จะทำให้คู่รักสามารถเดินหน้าต่อไปด้วยความหวังและแผนการที่ชัดเจนในการสร้างครอบครัวในอนาคต การเริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยประเมินสาเหตุของปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยลดความวิตกกังวล และช่วยให้คู่รักมีข้อมูลและแนวทางในการรักษาที่ชัดเจนมากขึ้น ในหลายกรณี การวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ สามารถนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ในอนาคต โดยสาเหตุของภาวะมีบุตรยากแบ่งออกเป็น 5 สาเหตุหลัก ดังนี้ ปัญหาการตกไข่ (Ovulation Factor): เกิดจากการที่ผู้หญิงมีปัญหาในการตกไข่ ซึ่งอาจตรวจสอบได้ด้วยชุดทดสอบที่ตรวจระดับฮอร์โมน LH ในปัสสาวะหรืออัลตราซาวนด์ ตรวจพบว่าผู้หญิงที่มีอายุมากจะมีจำนวนและคุณภาพไข่ลดลง ทำให้การตั้งครรภ์ยากขึ้น ปัญหาท่อนำไข่ (Tubal Factor): ท่อนำไข่มีบทบาทสำคัญในการปฏิสนธิ หากท่อนำไข่ตีบตัน จะทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ โดยอาจตรวจสอบได้จากการเอกซเรย์หรือการผ่าตัดผ่านกล้อง ปัญหาอสุจิ (Male Factor): ประมาณ 40% ของปัญหาภาวะมีบุตรยากเกิดจากคุณภาพของอสุจิ ซึ่งสามารถตรวจได้จากการวิเคราะห์น้ำเชื้อ หากพบความผิดปกติ อาจต้องตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม ปัญหาที่มดลูกและปากมดลูก (Uterine / Cervical Factor): สาเหตุจากมดลูกที่ผิดปกติ เช่น เนื้องอกหรือติ่งเนื้อ ที่อาจรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเช่น อัลตราซาวนด์หรือการส่องกล้อง ปัญหาเยื่อบุภายในช่องท้อง (Peritoneal Factor): อาการอักเสบในช่องท้อง เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อาจทำให้เกิดพังผืดหรือแผลเป็น การวินิจฉัยต้องทำการผ่าตัดผ่านกล้อง นอกจากนี้ยังมี ภาวะมีบุตรยากแบบไม่มีสาเหตุ (Unexplained Infertility) ซึ่งประมาณ 10% ของคู่สมรสที่มีบุตรยากไม่พบความผิดปกติชัดเจน แพทย์มักแนะนำให้ลองรักษาด้วยการฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก (IUI) หรือเด็กหลอดแก้วต่อไป การทำความเข้าใจและตรวจสอบสาเหตุเหล่านี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยาก. นัดหมายและปรึกษาแพทย์ได้ที่ https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

การนับวันตกไข่

การนับวันตกไข่

การนับวันตกไข่เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้หญิงที่ต้องการวางแผนตั้งครรภ์ เนื่องจากการตกไข่เกิดขึ้นเพียงเดือนละครั้ง การรู้วันตกไข่จะช่วยกำหนดเวลามีเพศสัมพันธ์ที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด การตกไข่ในผู้หญิง จำนวนไข่: ผู้หญิงแต่ละคนมีไข่ประมาณ 1 ล้านใบตั้งแต่เกิด เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ไข่จะลดเหลือประมาณ 400-500 ฟองที่สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ กระบวนการตกไข่: ในแต่ละเดือน รังไข่จะคัดเลือกไข่หนึ่งใบที่สมบูรณ์ที่สุดในช่วงกลางรอบเดือน (วันที่ 14) ซึ่งจะหลุดออกมาจากถุงรังไข่และรอการปฏิสนธิ วิธีนับวันตกไข่ การนับวันด้วยตนเอง: สำหรับรอบเดือนที่สม่ำเสมอ (28 วัน) ให้เริ่มนับจากวันที่ประจำเดือนมา วันตกไข่จะอยู่ที่วันที่ 14 ควรมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1-2 วันก่อนวันตกไข่ การใช้ชุดตรวจการตกไข่: ชุดตรวจใช้ปัสสาวะเพื่อคาดการณ์วันตกไข่ได้แม่นยำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ สัญญาณของการตกไข่ มูกที่ปากมดลูก: เปลี่ยนเป็นลักษณะเหนียวและยืดหยุ่น อารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น: มีความรู้สึกทางเพศมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น: ประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส ตำแหน่งปากมดลูก: ย้ายขึ้นและนุ่มขึ้น เจ็บคัดเต้านม: อาจมีอาการเจ็บที่เต้านม ผลึกน้ำลาย: มีลักษณะเป็นรูปใบเฟิร์นเมื่อทดสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์ ปวดท้องน้อยข้างเดียว: อาจเกิดขึ้นในระหว่างการตกไข่ สรุป การนับวันตกไข่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ แต่ไม่รับประกันว่าจะตั้งครรภ์ได้ 100% เนื่องจากมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการตกไข่ หากคุณมีปัญหามีบุตรยาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แผนกส่งเสริมสุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888